“นิสสัน” รื้อใหญ่ลดพนักงาน ตัดธุรกิจไม่ทำกำไร หวังเติบโตอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด ประกาศแผนระยะ 4 ปี เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน เสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงิน และความสามารถในการสร้างผลกำไร ภายในสิ้นปีงบประมาณปี พ.ศ. 2566

สำหรับแผนปฏิรูปการดำเนินธุรกิจนี้ยังครอบคลุมถึงการจัดการต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์ขององค์กรจากเดิมที่ให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจมากจนเกินไปภายใต้แผนระยะ 4 ปีนี้ นิสสันตัดสินใจที่จะปฏิรูปการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยลดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรและโรงงานที่เกินความจำเป็นลง ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างองค์กร พร้อมลดต้นทุนคงที่

โดยพิจารณากำลังการผลิตรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ที่จำหน่ายอยู่ทั่วโลก และรวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายใต้การบริหารจัดการอย่างมีระเบียบแบบแผน บริษัทมุ่งให้ความสำคัญและลงทุนในธุรกิจที่จะช่วยฟื้นฟูองค์กรให้สร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนเท่านั้น

นิสสัน คาดว่า การดำเนินงานตามแผนจะช่วยให้บริษัทมีอัตรากำไรจากผลการดำเนินงานที่ 5% และมีสัดส่วนทางการตลาดทั่วโลก คิดเป็น 6% เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณปี พ.ศ. 2566 รวมถึงสัดส่วนรายได้ที่มาจากการร่วมลงทุน 50% ในจีน

“มาโคโตะ อูชิดะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารนิสสัน กล่าวว่า “แผนปฏิรูปของเรามีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เกิดการเติบโตอย่างมั่นคง แทนที่จะให้ความสำคัญต่อการเพิ่มยอดขายมากจนเกินไป โดยนิสสันจะมุ่งเน้นเรื่องความสามารถหลักขององค์กร พร้อมยกระดับคุณภาพทางธุรกิจ และรักษาระเบียบวินัยทางการเงิน รวมถึงรายได้สุทธิต่อหน่วยเพื่อสร้างผลกำไรตามเป้าที่วางไว้ โดยทั้งหมดนี้จะมีการดำเนินงานควบคู่ไปกับการรื้อฟื้นวัฒนธรรม “ความเป็นนิสสัน” เพื่อเดินหน้าสู่ยุคใหม่ของนิสสันอย่างแท้จริง”

แผนระยะ 4 ปีของนิสสัน วางอยู่บนกลยุทธ์ 2 ด้าน ที่อยู่บนชื่อเสียงของนิสสันที่มีรากฐานมาจากการเป็นผู้ริเริ่มด้านนวัตกรรม ฝีมือการผลิต การให้ความสำคัญแก่ลูกค้า และคุณภาพ และยังรวมไปถึงการปฏิรูปด้านวัฒนธรรมองค์กร

1) กระบวนการทำให้เกิดประสิทธิภาพ : แนวทางปฏิบัติเพื่อปรับโครงสร้าง ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแผนงาน ปรับอัตราการผลิตของนิสสันลง 20% ให้เหลือเพียง 5.4 ล้านคันต่อปี ภายใต้การปฏิบัติงานตามช่วงเวลาการทำงานตามมาตรฐานปกติ เพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตให้ได้มากกว่า 80% เพื่อเพิ่มผลกำไร ลดจำนวนรุ่นรถยนต์ทั่วโลกลง 20% (ให้เหลือเพียง 55 รุ่น จากเดิม 69 รุ่น) ลดต้นทุนแบบคงที่ลงประมาณ 3 แสนล้านเยน ยุติการดำเนินงานของโรงงาน ณ บาร์เซโลนา ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ควบรวมการผลิตของรถยนต์รุ่นสำคัญต่าง ๆ ในอเมริกาเหนือ ยุติการดำเนินงานของโรงงานในอินโดนีเซีย และมุ่งให้ความสำคัญกับโรงงานในไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตแห่งเดียวในอาเซียน ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่มพันธมิตรในการใช้ทรัพยากร เช่น การผลิต รุ่นรถยนต์ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ร่วมกัน

2) การให้ความสำคัญกับตลาดหลักและรถยนต์รุ่นสำคัญ แผนงาน มุ่งเน้นธุรกิจของนิสสันในญี่ปุ่น จีน และทวีปอเมริกาเหนือ ใช้ประโยชน์จากความร่วมมือของกลุ่มพันธมิตร เพื่อรักษาฐานทางธุรกิจของนิสสัน ในอเมริกาใต้ อาเซียน และยุโรป ยุติการการดำเนินงานในเกาหลีใต้ ยุติการดำเนินธุรกิจของดัทสันในรัสเซีย รวมถึงปรับแผนการดำเนินธุรกิจของบางประเทศในอาเซียน ให้ความสำคัญกับรถยนต์รุ่นหลักในกลุ่ม C และ D segment รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถสปอร์ต เดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 12 รุ่น ในอีก 18 เดือนข้างหน้า เพิ่มจำนวนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยี อี-เพาเวอร์

โดยตั้งเป้าจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จำนวน 1 ล้านคัน ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2566 ในประเทศญี่ปุ่น นิสสันจะเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 2 รุ่น และรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ จำนวน 4 รุ่น เพื่อเพิ่มสัดส่วนของยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ถึงร้อยละ 60 ของยอดขายทั้งหมดนำระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ProPILOT มาใช้ในรถยนต์มากกว่า 20 รุ่น ที่วางขายใน 20 ประเทศ โดยตั้งเป้าว่าจะมีรถยนต์จำนวนกว่า 1.5 ล้านคัน ที่ใช้ระบบ ProPILOT ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2566

อูชิดะกล่าวปิดท้ายว่า “นิสสันต้องส่งมอบคุณค่าของแบรนด์ให้แก่ลูกค้าทั่วโลก โดยเราต้องนำนวัตกรรมทั้งด้านยานยนต์ เทคโนโลยี และเจาะตลาดที่เรามีศักยภาพในการแข่งขัน นี่คือ DNA ความเป็นนิสสัน และในยุคใหม่ของเรา คนยังเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดสำหรับนิสสันเพื่อให้นิสสันส่งมอบเทคโนโลยีที่คิดค้นมาเพื่อทุกคน และเพื่อรับมือกับความท้าทาย ซึ่งมีแต่นิสสันเท่านั้นที่สามารถทำได้”