ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ปั้น “เอ็มจีซี-เอเชีย” เติบโตอย่างยั่งยืน

สัมภาษณ์

“เรามั่นใจว่า…ทุกแบรนด์ที่เราทำล้วนมีอนาคต หลับตามองเห็นแผนงานและภาพการเติบโตในตลาดทะลุไป 3-5 ปีข้างหน้า”

นี่คือ ตอนหนึ่งของบทสนทนาของ ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ นายใหญ่แห่งอาณาจักร เอ็มจีซี-เอเชีย กรุ๊ป ผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ในศตวรรษที่ 20 จากการเป็นทั้งดิสทริบิวเตอร์และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลากหลายแบรนด์

แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมค้าปลีกรถยนต์จะมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่กลุ่มเอ็มจีซี-เอเชียไม่เคยประมาทและพยายามวิ่งไปข้างหน้า ก่อนที่พายุของความเปลี่ยนแปลงจะถาโถมเข้าใส่ ลองไปติดตามการต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจและการวางแผนเพื่อขับเคลื่อนอาณาจักรแห่งนี้กัน

ปรับตัวรับโควิด

ในปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่หลายธุรกิจ รวมทั้งเอ็มจีซี-เอเชียด้วย เราต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะในช่วงโควิด-19 ที่สำคัญเรากำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 21 ของการดำเนินธุรกิจ จากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2000 กับมิลเลนเนียมออโต้ จนวันนี้กลายเป็นเอ็มจีซี-กรุ๊ปที่มีระบบนิเวศเป็นของตัวเอง และแน่นอนว่าจากนี้ไปเราต้องมุ่งเน้นธุรกิจทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่กันไป เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าทุกคน แม้ว่าในช่วงโควิดจะส่งผลให้การดำเนินธุรกิจหลายด้านผิดแผนไปบ้าง แต่ทุกอย่างยังอยู่บนสถานการณ์ที่เรียกว่า “รับได้แต่ยังไม่ดี” ยกตัวอย่างเช่นรถเช่า ในพอร์ตเรามีเกือบพันคัน เมื่อท่องเที่ยวได้รับผลกระทบผมก็ปรับลดพอร์ตทันที พอทุกอย่างดีเราก็ซื้อกลับเข้าไปใหม่ ส่วนอื่น ๆ ก็ทำให้สอดรับความต้องการผู้บริโภค จะเห็นว่าทุกกลุ่มธุรกิจ ยอดขายเราลดลงน้อยกว่าตลาด เป็นการประคับประคองเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤต และปีนี้เอ็มจีซี-เอเชียยังเดินหน้าวางแผนต่อยอดธุรกิจอย่างรัดกุม พร้อมรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง

จัดพอร์ตธุรกิจใหม่เสริมแกร่ง

ปัจจุบันเราแบ่งกลุ่มธุรกิจในพอร์ตเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจค้าปลีกยานยนต์และบริการครบวงจร มีทั้งรถในกลุ่มลักเซอรี่ อย่างโรลส์-รอยซ์, แอสตัน มาร์ติน และมาเซราติ รถกลุ่มพรีเมี่ยม ได้แก่ บีเอ็มฯ มินิ และบีเอ็มฯ มอเตอร์ราด

กลุ่มพรีเมี่ยมแมส ได้แก่ เปอโยต์ กลุ่มรถใช้แล้ว ได้แก่ บีเอ็มฯ พรีเมี่ยมซีเล็กชั่น, มินิ เอ็กซ์, ฮอนด้า เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์มาสเตอร์ เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์ และยัวร์ไบก์ รถเช่าและพนักงานขับรถ มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิล, ซิกท์ และมาสเตอร์ไดรฟเวอร์ แอนด์เซอร์วิสเซส รวมทั้งกลุ่มอาฟเตอร์มาร์เก็ต เอ็มเอ็มเอส บ๊อชคาร์ เซอร์วิส แอนด์ไทร์ 2.กลุ่มธุรกิจนำเข้ายานยนต์ ได้แก่ พรีเมี่ยม เปอโยต์ ประเทศไทย หรือบริษัท เบลฟอร์ด ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด 3.กลุ่มครีเอทีฟโซลูชั่น ได้แก่ i24, iMX และ MAT 4.กลุ่มเรือสำราญอะซิมุท และ 5.กลุ่มการเงินและประกันภัย ฮาวเด้น แม็กซี่ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะเข้ามาขับเคลื่อนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเอ็มจีซี-เอเชียอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้เอ็มจีซี-เอเชียปัจจุบันมีเครือข่ายครอบคลุมถึง 21 โลเกชั่น 66 โชว์รูม 37 เซอร์วิส 29 รีเทล และ 8 รีเทลในส่วนของธุรกิจรถเช่าในต่างประเทศอย่างลาวและมาเลเซีย

เล็งขยายธุรกิจต่อเนื่อง

แน่นอนว่าตลาดปีนี้ยังให้น้ำหนักกับทุกกลุ่มธุรกิจไม่ได้ แต่เรายังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ปีนี้มีแผนขยายเครือข่ายโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการครบวงจรบน 5 โลเกชั่นสำคัญกับ 7 แบรนด์ในเครือ ที่เราเรียกว่าแผนธุรกิจ 5/7 เพื่อขยายไปยังพื้นที่สำคัญ อาทิ ลาดพร้าวซอย 112, พัฒนาการ-ศรีนครินทร์, บางนา-ตราด กม.4, ราชพฤกษ์-ธนบุรี และจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมถึงมีแผนขยายเครือข่าย MMS Bosch Car Service เพิ่มอีก 15 สาขา ภายในระยะเวลา 3 ปี จะทำให้มีศูนย์ครอบคลุม 30 แห่งทั่วประเทศ

นอกจากนี้เป็นที่ทราบกันว่า กลุ่ม PSA GROUP ซึ่งมีแบรนด์รถยนต์ในมือจำนวนมาก และเป็นพันธมิตรที่ดีกับกลุ่มเอ็มจีซี-เอเชีย ซึ่งในตลาดโลกได้มีการร่วมมือกับ FCA GROUP และมีรถยนต์แบรนด์ต่าง ๆ ในเครือมากขึ้น ภายใต้ชื่อใหม่ STELLANTIS เป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 4 ของโลก จากความสัมพันธ์อันดี น่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีที่จะทำให้เอ็มจีซี-เอเชียมีโอกาสในการขยายธุรกิจและดึงแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาด เพิ่มความแข็งแกร่งให้ธุรกิจได้มากขึ้นด้วย จากปัจจุบันที่เรามีอยู่ 2 แบรนด์ที่ทำอยู่ ได้แก่ มาเซราติและเปอโยต์ แต่การเพิ่มแบรนด์รถยนต์ใหม่ยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้ โดยที่ผ่านมามีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ติดต่อเข้ามาหาเราเยอะ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ และแน่นอนว่าเราจะไม่ทำอะไรที่ไปทับซ้อนกับสิ่งที่เป็นคู่ค้ากับเราอยู่แน่นอน

มั่นใจทุกแบรนด์มีโอกาส

ขณะนี้เราได้สร้างอีโคซิสเต็ม สร้างระบบนิเวศของตัวเองขึ้นมาบนพื้นฐานความหลากหลาย จะค่อย ๆ ต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจให้ครอบคลุม ครบวงจร ให้สามารถแข่งขันได้ ที่สำคัญเราเชื่อว่าทุกแบรนด์ที่ทำอยู่ล้วนแล้วแต่มีศักยภาพและมีอนาคตของตัวเอง เพราะอะไรจึงมั่นใจนั้น เนื่องจากเรามองเห็นโมเดลธุรกิจใน 3-5 ปีข้างหน้าภายใต้กลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า รวมถึงการขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากการใช้บิ๊กดาต้าซึ่งทั้งกลุ่มมีรายชื่อลูกค้ามากกว่า 5.5 แสนราย สามารถนำมาปรับและต่อยอดธุรกิจ

ฟันธงปีนี้โตมากกว่า 10%

อย่างในปี 2563 ที่ผ่านมานั้น อุตสาหกรรมรถยนต์หดตัวไปมากกว่า 31% ผลจากโควิด แต่เราสามารถประคับประคองตัวจนจบปี 2563 ทำรายได้รวมถึง 21,465 ล้านบาท มียอดขายรถใหม่รวม 10,078 คัน ลดลง 13.5% จากปีก่อนแต่ยังตกน้อยกว่าตลาด และยังครองสัดส่วนยอดขาย 17% ในตลาดรถพรีเมี่ยม

ส่วนปีนี้เอ็มจีซี-เอเชียทำรายได้ทั้งกรุ๊ปสูงถึง 23,000 ล้านบาท โตมากกว่า 10% เทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าธุรกิจบางกลุ่ม อย่างรถเช่าซิกท์เองนั้น ถือหุ้นสามัญในปีที่แล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจลดพอร์ตรถเช่าลงไป 30% เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่มี ภาคธุรกิจและประชาชนชะลอการจับจ่าย เราปรับพอร์ตรถเช่าจาก 1,000 คัน เหลือ 700 และ 600 คัน ตามลำดับ พอเริ่มเข้าปลายปีก่อนการระบาดระลอกสองเราซื้อรถเพิ่ม 100 คัน และปัจจุบันก็ต้องตัดสินใจลดลงเหลือ 500 คัน เพื่อรอดูแนวโน้มตลาดและภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ฟื้นคืน

นอกจากนี้เอ็มจีซี-เอเชีย เรายังได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลหรือบิ๊กดาต้า (Data Excellence Center) เพื่อดูแลฐานลูกค้ากว่า 550,000 ราย และได้ยกระดับการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย ให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจอย่างสูงสุด รวมถึงการบริการที่แม่นยำ รวดเร็ว และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจนในทุกเซ็กเมนต์ หลังจากที่เริ่มดำเนินการเรื่องบิ๊กดาต้ามา 2 ปีแล้ว

โดยลงทุนในส่วนของคลาวด์กว่า 100 ล้านบาท สามารถวิเคราะห์ได้ว่าลูกค้าใช้รถยนต์อย่างไร เพื่อนำข้อมูลมานำเสนอโปรดักต์ในธุรกิจของเราให้ตรงกับความต้องการได้มากที่สุด