ระวังฝีแตก !

คอลัมน์ : สามัญสำนึก
ผู้เขียน : สมปอง แจ่มเกาะ

นี่ก็กลางเดือนมีนาคมแล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะสิ้นไตรมาสแรกของปี

เท่าที่ติดตามข่าวคราวมาเป็นระยะ ๆ ตอนนี้หลายสถาบันบอกว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น

เป็นไปในทิศทางเดียวกับการฉายภาพรายได้และยอดขายในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา (อย่างไม่เป็นทางการ) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (บจ.) ในงาน Opportunity Day ก็พบว่า มีตัวเลขที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก ร้านอาหาร

สอดคล้องกับข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประกาศเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ภาวะเศรษฐกิจเดือนมกราคม 2567 ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน แต่โดยรวมการขยายตัวยังอยู่ในระดับต่ำ โดยการส่งออกสินค้าปรับดีขึ้น การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวน้อยลง ขณะที่ด้านการลงทุนภาคเอกชนทยอยปรับดีขึ้น และการบริโภคภาคเอกชนและเศรษฐกิจในภาคบริการยังขยายตัวได้ตามรายรับในภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ถัดมาต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ระบุว่า เศรษฐกิจไทยเดือนมกราคม 2567 มีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นจาก ท่องเที่ยว-บริโภค-ส่งออก

นี่เป็นตัวอย่างเพียงบางส่วนของสัญญาณดี สัญญาณบวก ที่เกิดขึ้น

หากแนวโน้มในภาพรวมค่อย ๆ ดีวันดีคืน ก็คงจะทำให้มีความหวังและใจชื้นขึ้นมาบ้าง

เอาเข้าจริง ๆ ใครคิดอย่างไรไม่รู้ แต่โดยส่วนตัว ลึก ๆ ในใจแล้วก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเท่าที่ได้สัมผัสมาในระดับหนึ่ง ตอนนี้ยังมองไม่เห็นภาพที่เป็นรูปธรรมของการฟื้นตัวที่ว่าเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับกลุ่มประชาชนคนชั้นรากหญ้า

เหลียวหน้าแลหลังคุยกับใคร ไล่ตั้งแต่วินมอเตอร์ไซค์ แม่ค้าพ่อขาย ชาวบ้านร้านตลาด ไปจนถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย พนักงานออฟฟิศ ที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นชนชั้นกลาง

ส่วนใหญ่บอกว่า ชีวิตความเป็นอยู่ยังฝืดเคืองเหลือใจ รายได้ไม่พอรายจ่าย ต้องกระเหม็ดกระแหม่ อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด

รายได้ไม่เพิ่ม แต่ค่าใช้จ่ายพุ่ง ที่หนักไปกว่านั้น บางคนยังมีภาระหนี้สิน ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ

นี่คือ กลุ่มที่มีความเปราะบาง ในระดับมากถึงมากที่สุด

แม้เศรษฐกิจในภาพรวมจะมีสัญญาณดีอย่างที่ว่า แต่กว่าที่จะส่งผลลงมาถึงคนกลุ่มนี้ได้คงใช้เวลาอีกนานโขเลยทีเดียว และไม่รู้ว่าถึงวันนั้นจะรอดได้สักกี่มากน้อย

และที่น่าห่วงอีกอย่างหนึ่ง คือ ปัญหาขยะที่ซุกอยู่ใต้พรม ที่ตอนนี้ทยอยแตกออกมาเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปมปัญหาหุ้นกู้ ของ บจ.หลาย ๆ แห่งที่ผิดนัดชำระหนี้ รวม ๆ เป็นวงเงินหลายหมื่นล้านบาท

ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝีที่เรื้อรังก็เริ่มอักเสบและแตกออกมา เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการรับเหมาก่อสร้าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ของ “ตระกูลกรรณสูต” ขาดสภาพคล่องอย่างหนักถึงขนาดไม่มีเงินจ่ายให้รับเหมารายย่อยที่เป็นซับคอนแทร็กต์ และนี่ยังไม่นับรวมถึงปัญหาหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระในปีนี้และปีหน้ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ที่ต้องขอยืดหนี้ออกไปก่อน

ขณะเดียวกันก็มีคำถามเกิดขึ้นตามมาว่า บริษัทรับเหมาก่อสร้างรายนี้จะล้มหรือไม่ ? จะฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปอย่างไร ? ตอนนี้มีโครงการขนาดใหญ่อะไรอยู่ในมือบ้าง โครงการจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ? ฯลฯ

ปมปัญหาที่เกิดขึ้นลักษณะนี้ ไม่เพียงแต่จะกระทบความเชื่อมั่นการลงทุนเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งอาจจะลุกลามกระทบเป็นลูกโซ่

ตอนนี้นักธุรกิจต่างจับตาเกาะติดสถานการณ์ฝีแตกอย่างใกล้ชิด หลายรายต้องแตะเบรก ชะลอการลงทุนโครงการใหม่ไว้ก่อน เพราะไม่วางใจสถานการณ์และเกรงว่าอาจจะมี โดมิโน่ เอฟเฟ็กต์ เกิดขึ้น

เชื่อว่าบ้านเรายังมีขยะซุกใต้พรมอยู่อีกมาก และพร้อมที่จะปะทุหรือระเบิดได้ทุกเมื่อ

หากปะทุหรือระเบิดแรง ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม

อย่าวางใจเสียเลยทีเดียว