ปีนี้เหมือนปีหน้า ?

ปีนี้ 2560 เป็นปีที่บรรยากาศของประเทศยังไม่ฟื้นจากการโศกเศร้าต่อเนื่องมาจากปี 2559 ซึ่งปกคลุมไปด้วยการเฝ้าฟังข่าวอาการพระประชวรและข่าวสวรรคต ต่อมาด้วยข่าวการก่อสร้างพระเมรุมาศและการถวายพระเพลิงเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2560 จึงเป็นบรรยากาศของการแสดงความไว้อาลัย บรรยากาศของการไว้ทุกข์ งดงานรื่นเริง การจัดงานมงคลต่าง ๆ ก็เลื่อนไป ผู้คนไม่มีจิตใจจะจัดงานรื่นเริง

ปี 2559 และปี 2560 จึงเป็น 2 ปีที่ประชาชนชาวไทยต้องประสบความสูญเสียอันยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต เพราะผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศลืมตาขึ้นมาในพระบรมโพธิสมภารของในหลวงรัชกาลที่ 9

เมื่อบรรยากาศของปี 2559 และปี 2560 เป็นบรรยากาศของความโศกเศร้าและความสูญเสีย บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองก็พอจะเป็นบรรยากาศของความซึมเศร้าเหงาหงอยไปด้วย

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการสื่อสารประกอบกับธุรกิจที่เกี่ยวกับการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ วารสาร สิ่งพิมพ์ หนังสือ ก็พลอยถึงแก่กาลอวสานกันไปอย่างถ้วนทั่ว กลายเป็นการเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยของธุรกิจสื่อสารมวลชน เกือบทุกสำนักจึงต้องมุ่งไปเป็นสื่อออนไลน์ ซึ่งผู้คนที่เป็นคนรุ่นเก่าที่เคยแต่ดูโทรทัศน์

ไม่ว่าจะเป็นรายการข่าวหรือละครทีวี อ่านวารสารรายเดือนหรือรายสัปดาห์ อ่านหนังสืออ่านเล่น นวนิยาย ต้องเปลี่ยนไปค้นจากเครื่องเล่นชนิดต่าง ๆ

เช่น โทรศัพท์มือถือ ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ที่จะดูย้อนหลังไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คนรุ่นเก่าจำนวนมากไม่สามารถจัดการกับเครื่องไม้เครื่องมือสมัยใหม่ได้ ก็เลยเลิกดูเลิกติดตามไปเลยก็มีไม่น้อย ข่าวสารออนไลน์เมื่อไม่ได้ติดตามก็ทำให้กลายเป็นคนล้าสมัยไปหลายคน ข่าวการปิดสำนักงานของสื่อมวลชนจึงเป็นข่าวที่ได้ยินอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 ตลอดมาทั้งปีของปี 2560 ที่กำลังจะผ่านไปนี้ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับคนรุ่นอายุ 60 ปี 70 ปีขึ้นไป 2 ปีที่ผ่านมาจึงเป็น 2 ปีแห่งความเจ็บปวด 2 ปีแห่งความสูญเสีย 2 ปีแห่งความลำบากยากแค้นในทางเศรษฐกิจ 2 ปีแห่งความน่าเบื่อหน่ายการเมืองที่แสนจะล้าหลังที่ไม่พัฒนาของเมืองไทย 2-3 ปีแห่งการต้องทนฟังคำหลอกลวงสารพัดจากทีมเศรษฐกิจ ที่น่าเบื่อหน่ายเพราะต้องเป็นคนฟังแต่ฝ่ายเดียวทุกวันปลายสัปดาห์ ทุกปลายปีตลอดมากว่า 3 ปีแล้ว ที่จะถูกหลอกให้เชื่อว่าปีต่อไป

เศรษฐกิจจะดีกว่าปีที่กำลังจะหมดไป

เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็รู้ว่าตัวถูกหลอกเพราะไม่เป็นความจริง แต่ก็ให้อภัยเพราะรัฐบาลนี้เป็น “รัฐบาลการตลาด” เป็นรัฐบาลที่บริหารโดยเซลส์แมน เมื่อเป็นการตลาดของเซลส์แมนเสียแล้ว พูดแล้วไม่ทำก็ไม่มีใครว่าอะไร รอคำหลอกลวงในปีต่อไป

ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของอเมริกา ยุโรป จีน รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ในประชาคมอาเซียนขยายตัวในอัตราไม่สูง แต่ประเทศไทยกลับเป็นประเทศที่รั้งท้าย ในแง่ของการขยายตัวของการส่งออกของรายได้ประชาชาติและการลงทุน เพราะนโยบายการเงินที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การเงินของตลาดโลก ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าค่าเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค เพราะยังไปยึดติดกับกรอบนโยบาย “เป้าหมายเงินเฟ้อ” ที่ใคร ๆ เขาก็เลิกกันไปหมดแล้ว เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการส่งเสริมหรือขัดขวางในการส่งออก เป็นเงื่อนไขสำคัญในการแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศ

ปีหน้าที่จะมาถึง ถ้าค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มที่จะแข็งขึ้นไปอีกเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งท่าที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอีก ถ้าหากราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ทั้ง ๆ ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของเรายังไม่มีทีท่าว่าจะยั่งยืน เป็นธรรมดาที่จะเห็นเศรษฐกิจในบางไตรมาสปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้ดีถึงขนาดที่มีการใช้กำลังการผลิตเต็มกำลัง แต่เป็นการปรับของการสต๊อกสินค้าที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปและวัตถุดิบ หรือที่เรียกว่า inventory adjustment ในบัญชีรายได้ประชาชาติถือว่าเป็นการลงทุน ทั้ง ๆ ที่เป็นการปรับตัวระยะสั้นเพียงไม่นานสถานการณ์ก็กลับมาตามเดิม ปีที่จะมาถึง 2561 นี้ก็จะเป็นปีที่จะได้ยินข้อถกเถียงเช่นว่านี้ ทั้งปีหรืออย่างน้อยก็อีกครึ่งปี ยังสรุปไม่ได้

ปีที่กำลังจะมาถึงนี้ก็จะเป็นอีกปีหนึ่งที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ราคาน้ำมันปาล์ม ราคาอ้อย และน้ำตาล ราคาข้าว ราคาข้าวโพด ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะฟื้นตัว เพราะราคาน้ำมันจะยังไม่ฟื้นตัว เพราะการผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันใต้พื้นพิภพของสหรัฐอเมริกา ยิ่งผลิตมากต้นทุนการผลิตและการสำรวจก็ยิ่งถูกลง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐรุ่งเรืองสุดขีด อัตราการว่างงานของสหรัฐลดลงจากร้อยละ 10 มาเหลือเพียงร้อยละ 4 โดยไม่มีเงินเฟ้อ

จนธนาคารกลางสหรัฐประกาศจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อยก็ 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ จนมาชนกับดอกเบี้ยนโยบายของไทย คาดการณ์ได้ว่าในปี 2561 ที่จะมาถึงนี้จะเป็นปีที่ดอกเบี้ยในตลาดการเงินของเราจะเป็น “ขาขึ้น” ถ้าไม่ระวังให้ดีค่าเงินบาทก็อาจจะแข็งขึ้นตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น เราน่าจะถือโอกาสสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อให้ค่าเงินบาทอ่อนลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะจะเป็นอุปสรรคสำคัญของการขยายตัวของการส่งออกและการขยายตัวของรายได้ประชาชาติ ในยามที่ราคาสินค้าเกษตรทุกตัวของเราตกต่ำ และยังไม่มีทีท่าว่าราคาสินค้าเกษตรจะฟื้นตัวในปี 2561 นี้

ปี 2560 นี้เป็นปีแห่งการทยอยปิดตัวของวารสารสิ่งพิมพ์ที่เคยรุ่งเรืองโด่งดังมาในอดีต ปีนี้จะเห็นโทรทัศน์หรือทีวีดิจิทัลที่ประมูลสัมปทานมาด้วยราคาแพง โดยมีธนาคารพาณิชย์รับประกันหนี้ ทยอยกันปิดตัวลง ผู้ที่ชนะการประมูลก็จะถูกธนาคารเรียกชำระหนี้หรือถูกฟ้องให้ชำระหนี้ รัฐบาล หรือ กสทช.ก็คงจะกระอักกระอ่วนใจว่าจะเอาอย่างไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ที่ต้องทิ้งการทำสัมปทานหลังจากชนะการประมูลแล้ว ปีหน้าที่จะถึงนี้ก็จะเป็นการเปลี่ยนตัวละครในธุรกิจบันเทิงและธุรกิจสื่อมวลชนที่เจ็บปวดต่อจากปีที่กำลังจะผ่านไป

การเสนอข่าวจะเป็นไปอย่างจืดชืด เพราะทุกคนทุกฝ่ายต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง ข่าวหน้า 1 แทนที่จะเป็นข่าวการเมืองและเศรษฐกิจก็กลายเป็นข่าวอาชญากรรม วิทยุก็ดี โทรทัศน์ก็ดี ที่ใช้วิธีการอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ก็ต้องเสนอข่าวอาชญากรรมเป็นหลัก ทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลเผด็จการทหารควบคู่ไปกับสังคมที่เต็มไปด้วยข่าวอาชญากรรม อาชญากรรมเพิ่มขึ้นแทนที่จะน้อยลง ปีหน้านี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกันไปอีกสำหรับสื่อที่เหลือคือการปิดตัวลงของหนังสือพิมพ์รายวัน เพราะไม่มีโฆษณา นายทุนเจ้าของซึ่งทนแบกภาระการขาดทุนมาหลายปีแล้ว ทนแบกภาวะการขาดทุนไม่ไหวต้องยอมปิดตัวลงในปี 2561 ที่จะมาถึงนี้

เนื่องจากการจ้างงานคนไทยมีอัตราที่สูงมากใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจขาลงยังไม่กระทบกับแรงงานมีฝีมือของไทยมากนัก แต่งานระดับล่างที่ใช้แรงงานต่างด้าวลดลงอย่างมาก ดังนั้นเราจะเห็นแรงงานต่างด้าวไม่ว่าจะเป็นพม่า เขมร ลาว รวมทั้งเวียดนามทยอยกันกลับบ้าน โดยที่รัฐบาลไม่ต้องออกมากระทืบซ้ำอย่างที่เคยทำในอดีต เจ้าของสวนยางต้องกลับมากรีดยางเอง เพราะการใช้แรงงานต่างด้าวโดยการแบ่งผลผลิต 50:50 หรือ 40:60 ไม่คุ้มกับรายได้จากการขายยางที่ราคาตกต่ำลงเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ก็ไม่กล้าจัดการปิดถนนประท้วงเพราะเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล พูดไม่ออก เจ้าของสวนยางในภาคอื่นไม่ร่วมประท้วงด้วย

การตกต่ำลงของราคาสินค้าเกษตรจะส่งผลมาถึงการเดินขบวน เรียกร้องมาตรการประกันราคา พยุงราคา หรือรับจำนำหรือไม่ และจะกลายเป็นประเด็นการเมืองในท้องถนนหรือไม่ การควบคุมตัวแกนนำเข้าค่ายทหารเพื่อปรับทัศนคติการประกบตัวผู้นำมวลชน จะสามารถระงับการเคลื่อนไหวทางการเมืองอันเกิดจากเศรษฐกิจขาลง ราคาขาลงของสินค้าเกษตร หรือการไม่มีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ จะเป็นชนวนการเคลื่อนไหวในทางการเมืองในปีที่จะมาถึง เพราะรัฐบาลทหารอยู่ยืนยาวนานที่สุดมาถึง 4 ปีแล้ว

การยืนยันกับคนไทยและชาวต่างประเทศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปภายในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า แต่ขณะเดียวกันโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก ส่อเค้าให้เห็นว่าการรักษาตารางเวลาตามที่สัญญาไว้คงจะเป็นไปได้ยาก การหาเสียงเลือกตั้งก็คงจะจืดชืดไม่มีชีวิตชีวาอย่างในอดีต ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นเค้าว่าจะดี ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจอเมริกาและยุโรป ซึ่งเคยเป็นหัวรถจักรลากเศรษฐกิจของเอเชียเจริญรุ่งเรืองอย่างสุดขีด แต่จีนและญี่ปุ่นซึ่งบัดนี้เป็นหัวรถจักรของเรายังไม่หยุดที่จะชะลอตัวลง ความรุ่งเรืองของอเมริกาและยุโรปแม้จะส่งผลมายังภูมิภาคอาเซียน แต่ส่งผลเฉพาะประเทศอื่นไม่ใช่ประเทศไทย เพราะผิดที่มีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากกระบวนการประชาธิปไตย เหลือเพียงจีนเท่านั้นที่พอจะอาศัยเป็นหัวรถจักรให้เราได้ แต่ก็ชะลอตัวเสียอีก

ปีหน้า 2561 จึงไม่ใช่ปีของเรา