วันที่ 13 ก.พ. เวลา 14.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ ถึงกรณีการพูดคุยและหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร วานนี้ (12 ก.พ.) ว่า ไม่ได้มีการหารือในเรื่องดังกล่าว และไม่จำเป็นจะต้องหารือในเรื่องนี้ เพราะมีหน่วยงานและคนทำอยู่แล้ว เรื่องนี้เคยบอกแล้วว่า ไม่ว่าจะขอตัวใครไปก็ตาม ถ้าประเทศนั้นๆ ให้ก็คือให้ แต่ถ้าไม่ให้ก็คือเขาไม่ให้ และเราก็ไม่สามารถไปจับกุมตัวที่ต่างประเทศได้
เรื่องดังกล่าวขึ้นอยู่กับการสร้างความเข้าใจกับประเทศนั้นๆ ซึ่งตนเองพยายามทำทุกอย่างอยู่แล้ว ว่าใครทำผิดกฎหมายในประเทศไทยบ้าง และส่งข้อมูลให้ทั้งหมดทุกประเทศ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะพิจารณา เช่นเดียวกับบ้านเรา ซึ่งเราก็มีแนวทางและหลักเกณฑ์ว่าจะส่งตัวหรือไม่ และจะต้องดำเนินคดีอย่างไรก็ต้องว่ากันไป มีหลายคดีที่เกี่ยวข้องกันอยู่
- มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล เปิดชื่อผู้ถือหุ้น-ผลประกอบการ
- 10 พฤษภาคม 2567 ขึ้นทางด่วนฟรี 60 ด่าน
- ทีทีบี เสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง คุ้มครองเงินต้น 100% เปิดจอง 9-15 พ.ค. 67
สำหรับส่วนของรัฐบาลได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศในการให้ข้อมูลที่ชัดเจนของ 2 อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต่างประเทศก็ให้ความร่วมมือให้ข้อมูลมาว่าปัจจุบันพำนักอยู่ที่ไหน พอถามไปว่า จะส่งตัวกลับมาให้หรือไม่ เขาก็เงียบเพราะมันมีปัจจัยหลายอย่าง ต่างประเทศก็มีหลักการ มีกฎหมาย “กฎหมายบ้านเราอาจจะผิด แต่กฎหมายบ้านเขาไม่ผิด”
หรือบางเรื่องเป็นเรื่องระดับสูงเกินไป อาทิ เรื่องของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่อาจถูกมองว่าเป็นประเด็นการเมืองนั่นคือปัญหา เพราะที่ผ่านมาเอาเรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นการเมืองไปทั้งหมด ความจริงเป็นรื่องการกระทำผิดกฎหมาย ถ้าช่วยกันทำความเข้าใจแบบนี้ ทุกคนก็จะเข้าใจและช่วยกันทำให้ไม่สับสน
“ตนเองไม่ได้ไปสนใจอะไร เพราะเมื่อเขาทำผิดกฎหมายยังไม่กลับมาก็ยังดำเนินคดีไม่ได้ แต่กลับมาเมื่อไหร่ก็ดำเนินคดีได้เท่านั้นเอง ขอร้องว่า ให้ร่วมกันกับการพัฒนาประเทศดีกว่า เรื่องอื่นก็ให้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเเละว่า
สถานะล่าสุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ใช้พาสปอร์ตประเทศอะไรในการเดินทาง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ส่วนของหนังสือเดินทางของประเทศไทยไม่มี กระทรวงการต่างประเทศถอนทั้งหมดแล้ว ก็เป็นหนังสือเดินทางของต่างประเทศ ซึ่งมีการออกหนังสือเดินทางได้หลายแบบ ทั้งด้านการค้า ท่องเที่ยว และประเภทอื่นๆ ซึ่งประเทศไทยไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจสถานการณ์โลกว่าเป็นอย่างนั้น”
“สิ่งที่น่าสนใจ คือทั้งอิตาลี อังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศสำคัญในอียูได้มาพบกับตน เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย อังกฤษถือเป็นอันดับสองในเรื่องการค้าการลงทุนของกลุ่มประเทศอียู ก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน เขาก็ได้ให้กำลังใจในการเดินหน้าไปสู่การเป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง ตนก็ได้บอกไปว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ และกฎหมายที่มีอยู่ คาดว่าถ้าขยับไปได้มันก็จะขยับไป 90 วัน ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ตนไม่ใช่ไม่คนกำหนด ขอยืนยันไปตามนั้น เเละอย่าเอาไปเป็นประเด็นว่า พูดไปแล้วกลับคำมันไม่ใช่ มันกลับคำไม่ได้ เพราะทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนของโรดแมปของตน”
ซึ่งโรดแมปซึ่งมีกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง จะล่าช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ที่กฎหมายลูก ไม่ได้ต้องการไปแก้ไขอะไรให้มากมายนัก ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญหรือจำเป็น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีนักการเมืองบินไปหาอดีตนายกรัฐมนตรีที่ต่างประเทศ มีการจับตามองเป็นพิเศษหรือไม่ เพราะขณะเดียวกันก็มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ในเมืองไทย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากจะบินไปก็ไปเถอะ ก่อนหน้านี้ให้ทำเรื่องขออนุญาตก่อน ก็มีการกล่าวหาว่าตนละเมิดสิทธิมนุษยชน สื่อเองก็ต่อว่า ก็ให้เกียรติทุกคน อยากไปก็ไป ไม่ต้องมาขออนุญาตแล้วจะเอาอะไรกันอีก แต่วันนี้ถ้าใครไปทำความผิด หรือเคลื่อนไหวอะไรในทำนองล้มล้างรัฐบาล ก็สามารถขอข้อมูลได้อยู่แล้ว ว่ามีใครไปพบไปหากันบ้าง ไม่จำเป็นต้องแจงเพราะเป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงทำงานกันอยู่
เมื่อถามถึงกรณี สื่อมวลชนถามถึง 2 อดีตนายกรัฐมนตรีที่เคลื่อนไหวในต่างประเทศ นายกฯมักจะแสดงอารมณ์ทุกครั้ง ขณะที่บอกว่าเป็นเรื่องแค่ไอ้กระพี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้แสดงอารมณ์กับอดีตนายกฯทั้งสองท่าน แต่ผมแสดงอารมณ์กับคำถามของสื่อมวลชน เข้าใจกันบ้างไหม อย่างเมื่อวานนี้ที่พูดว่า ทำไมต้องไปสนใจกับไอ้กระพี้ คำว่าไอ้กระพี้ ไม่ได้หมายความถึง 2 อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะให้เกียรติเขา อย่างน้อยเขาก็เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี จะผิดหรือถูกก็ให้กฎหมายว่าตามกันมา
แต่คำว่าไอ้กระพี้คือ สื่อสนใจแต่ข่าวเปลือกนอกที่ไม่สนใจสารัตถะข้างใน ข้อเท็จจริงข้อมูลที่ชัดเจน หรือกระบวนการยุติธรรมต่างๆ สื่อไม่สนใจกับคำหรือเรื่องพวกนี้เลย แล้วก็ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดกันไปหมด เจ้าหน้าที่ก็มีปัญหาในการทำงาน กระบวนการยุติธรรมก็มีปัญหา ขาดความน่าเชื่อถือ ทั้งๆ ที่กฎหมายมีทุกตัว สิ่งใดที่เกิดมาในสมัยก่อน มีข้อบกพร่องและผิดพลาดรัฐบาลนี้ก็พยายามแก้ไขอย่างเต็มที่ ทำน้อยเกินไปก็ไม่ได้ ทำแรงเกินไปก็ไม่ได้ สื่อก็ต้องช่วยบ้าง ลดความขัดแย้ง สร้างความเข้าใจ “อย่าไปสนใจกับไอ้กระพี้”
โดยนายกรัฐมนตรีย้อนกลับว่า รู้จักหรือไม่คำว่า กระพี้ ต้นไม้มีเปลือก ตรงนั้นมันเรียกว่ากระพี้ ไม่มีประโยชน์คุณค่าเอาไปทำอะไรไม่ได้ ต้องถากเปลือกนอกออกไปเพื่อทำไม้แปรรูป อยากให้สนใจแก่นของไม้มันบ้าง แก่นก็คือสาระสำคัญของข่าว วันนี้สื่อทำข่าวตลาดเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้ เพราะส่งผลกระทบต่อการทำงาน
นอกจากนี้ในตอนท้าย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คำตอบส่วนใหญ่ในวันนี้บางทีก็เป็นแค่กระพี้เหมือนกัน และที่ตอบวันนี้ก็ไม่ได้โมโห ไม่ได้มีอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น หมดแล้วอารมณ์ หมดไปตั้งนานแล้ว