เปิดสูตรคณิตศาสตร์การเมือง กางโผลับบัญชี 500 ส.ส.พรรคใหญ่

เลือกตั้ง ส.ส.

ทุกพรรคการเมืองจัดคิวแกนนำลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งทั่วไทย ไม่ต้องรอให้มีการยุบสภา แม้แต่ตัวผู้ถืออำนาจสูงสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังใช้เวลาใน-นอกราชการลงพื้นที่ตรวจราชการ เรียกเรตติ้งการเมือง

บรรดาพรรคบิ๊กเนม ต่างตั้งเป้า ส.ส.รีเทิร์นกลับเข้าสภาด้วยความมั่นใจ

พรรคพลังประชารัฐ โดย สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค มั่นใจว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรค พปชร.ตั้งเป้าจะได้ ส.ส.เข้าไปเป็นตัวแทนประชาชนไม่น้อยกว่า 150 ที่นั่ง

พรรคภูมิใจไทย ตั้งเป้าเป็นพรรคใหญ่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ตั้งเป้า “แคปจำนวน ส.ส.” ไว้ที่ 80-90 ที่นั่ง เพื่อให้พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคตัวแปร ไม่ต้องการเป็นพรรคผู้นำฝ่ายค้าน

พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งเป้า ส.ส. 70-80 ที่นั่ง จากการประเมินของ “นิพนธ์ บุญญามณี” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรค

พรรคชาติไทยพัฒนา ตั้งเป้า ส.ส. 24-25 คน เป็นเป้าหมายที่ “ประภัตร โพธสุธน” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค ประกาศไว้บนเวทีหาเสียงครั้งแรกของพรรค เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ จ.สุพรรณบุรี

พรรคชาติพัฒนากล้า ที่มี “กรณ์ จาติกวณิช” เป็นหัวหน้าพรรค และมี สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นประธานพรรค ซึ่งสุวัจน์ระบุว่ามีความพร้อมในการเลือกตั้ง ตั้งเป้าหมายจะได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 25 คน เพื่อเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคให้รัฐสภาพิจารณา

พรรคก้าวไกล ยังหวังสูง พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะแม่ทัพยุทธศาสตร์ กทม. นอกจากตั้งเป้ากวาด ส.ส.ใน กทม.เกินครึ่ง 17-18 เขตเลือกตั้งแล้ว ยังคาดการณ์ที่นั่ง ส.ส.ระดับประเทศต้องได้มากกว่า 70 ที่นั่ง

แต่เมื่อนำเป้าหมายมาเทียบกับจำนวน ส.ส.ในสภาล่าสุด วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 อันเป็นยอดจากการประชุมสภาครั้งล่าสุด พบว่า

พรรคพลังประชารัฐ เหลือ ส.ส. 77 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 57 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 20 คน แต่เมื่อรวมกับ ส.ส.กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในนามพรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งเพิ่งไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐในเวลาต่อมา จึงทำให้พรรคพลังประชารัฐมี ส.ส.เพิ่มขึ้นเป็น 88 คน ยังห่างกว่าเป้าที่ “สันติ” ตั้งไว้ว่าจะได้ 150 เสียง กว่า 62 ราย

พรรคภูมิใจไทย ยังอยู่ที่ 63 คน ส.ส.เขต 49 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 14 คน แต่หากนับรวมอดีต ส.ส.ที่แห่ลาออกมาอยู่พรรคภูมิใจไทย 34 ราย เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2565 จะทำให้มี ส.ส.และอดีต ส.ส.ในมือราว 100 คน ถือว่าเกินเป้าที่ตั้งไว้ 80 ที่นั่ง

พรรคประชาธิปัตย์ 50 คน ส.ส.เขต 31 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 19 คน (แต่ ส.ส.บางส่วน เตรียมประกาศตัวจะไปอยู่ร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ) ตั้งเป้าไว้ 80 เสียง แต่กลับสูญเสียกำลังหลักไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ หากจะได้ตามเป้าต้องได้ ส.ส.เพิ่มอีก 30 เสียงเป็นอย่างต่ำ

ขณะที่ พรรคเพื่อไทย มี ส.ส.เขตในขณะนี้ 117 คน โดยเป็น ส.ส.เขตทั้งหมด แต่หวังว่าจะได้เกิน 200-230 เสียง ด้วยปัจจัยที่จำนวนเขตมากขึ้น และกระแสแบรนดิ้งเพื่อไทย-ชินวัตร ถ้าจะทำให้ได้ตามเป้าต้องได้ ส.ส.เพิ่มประมาณ 80-120 ที่นั่ง

พรรคก้าวไกล มั่นใจว่าจะได้ 80 เสียง แต่ปัจจุบันมี ส.ส.เหลือ 45 คน ส.ส.เขต 14 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 31 คน ด้วยกติกาเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป-ไม่มีการนับคะแนนตกน้ำ อาจเป็นปัญหาทำให้พรรคก้าวไกลได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ลดลง ขณะเดียวกัน การแข่งขันใน ส.ส.เขตเลือกตั้ง ก็ต้องสู้กับบรรดาบ้านใหญ่ทางการเมือง เป้าหมาย 80 เสียงของก้าวไกลจึงท้าทายยิ่ง

พรรคเสรีรวมไทย มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ 10 คน พรรคประชาชาติมี 7 คน ส.ส.เขต 6 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคเพื่อชาติมี 6 คน ส.ส.เขต 1 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 5 คน พรรคพลังปวงชนไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคไทยศรีวิไลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน

ส่วน พรรคชาติไทยพัฒนา 12 คน ส.ส.เขต 7 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 5 คน และพรรคชาติพัฒนากล้าที่มี 3 คนคือ ส.ส.เขต 1 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2 คน ซึ่งตั้งเป้าไว้ในการเลือกตั้งรอบนี้ 25 คน ก็ต้องลงเลือกตั้งด้วยอารมณ์หืดขึ้นคอ

พรรคการเมืองที่พาตัวเองเข้าสภาในการเลือกตั้งรอบก่อน จากผลพวง “คะแนนตกน้ำ” บัตรเลือกตั้งใบเดียว ตัวอย่างเช่น พรรคเศรษฐกิจใหม่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 6 คน พรรคพลังท้องถิ่นไท 5 คน ส.ส.เขต 2 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 3 คน พรรครวมพลัง ส.ส.บัญชีรายชื่อ 4 คน พรรคโอกาสไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2 คน (พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย) พรรคประชาภิวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน

พรรคครูไทยเพื่อประชาชน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคพลเมืองไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคพลังธรรมใหม่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคเพื่อชาติไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน

พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 คน

อาจต้องสูญพันธุ์หลังการเลือกตั้งรอบนี้ เพราะด้วยกติกาการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ส.ส.เขต กับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แยกขาดจากกัน ไม่มีนับคะแนนตกน้ำ พรรคที่จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน จะต้องได้คะแนนบัญชีรายชื่ออย่างน้อย 350,000 คะแนนขึ้นไปต่อ ส.ส. 1 คน

เพราะการนับคะแนนจะใช้วิธีคำนวณบนฐานคะแนน เช่น ถ้ามีผู้เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 35 ล้านคน เมื่อนำ 100 มาหาร ก็จะได้ตัวเลขพื้นฐานสำหรับมาคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค ดังนั้น พรรคปัดเศษที่ได้คะแนน 50,000-70,000 หมื่นคะแนน แล้วได้ ส.ส.จะต้องสูญพันธุ์ในรอบนี้

เป้าหมายหลายพรรคอาจเป็นได้แค่ฝัน