“ไพบูลย์ นิติตะวัน” ฟ้องอดีตอธิบดีอัยการ ฟ้องคดีม็อบ กปปส.ปี 57 ม.157

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซ.สีคาม ถ.นครไชยศรี นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกวุฒิสภาและผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป มาพร้อมทนายความ ยื่นฟ้อง นายนันทศักดิ์ พูลสุข อดีตอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ปัจจุบันเกษียณอายุแล้ว ผู้มีคำสั่งฟ้องคดีการชุมนุม กปปส.เมื่อปี 2557 เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีมีการมีคำสั่งฟ้องกลุ่ม กปปส. ทั้งหมด 54 คนเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 ภายหลังรับสำนวนคดีจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2557 แต่ใช้เวลาในการพิจารณาสำนวนเพียง 6 วันเท่านั้น

ทั้งนี้ศาลได้รับสำนวนไว้ในสารบบความ คดีอท.49/2561 โดยศาลนัดตรวจดูคำฟ้องว่าครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่ ในวันที่ 10 เมษายนนี้ เพื่อจะมีคำสั่งต่อไปว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องโจทก์หรือไม่ต่อไป

นายไพบูลย์กล่าวถึงเหตุการฟ้องคดีว่าวันนี้ ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคดีอาญา อดีตอธ.อัยการคดีพิเศษ เป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เนื่องจากการสั่งคดีโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย คือ 1.จำเลย มีคำสั่ง เห็นควรสั่งฟ้องโจทก์ ฐานความผิด “ร่วมกันขัดขวางการปฏิบัตินของคณะกรรมการการเลือกตั้งและร่วมกันขัดขวางเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งและร่วมกันกระทำโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้งหรือเข้าไป ณ ที่ลงคะแนนเลือกตั้ง”

ซึ่งความผิดข้อหาดังกล่าว โจทก์ไม่เคยได้รับการแจ้งข้อกล่าวหา จากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอ ให้ทราบมาก่อน ดังนั้นที่จำเลยสั่งคดีโดยเห็นควรสั่งฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พุทธศักราช 2547 ข้อ 67 รรคแรก ที่กำหนดว่า การพิจารณาฐานความผิดย่อมพิจารณาจากการกระทำที่ผู้ต้องหาทราบ และมีความเห็นไว้เท่านั้นไม่ได้ หากการกระทำที่กล่าวหาเป็นความผิดฐานอื่นด้วย ให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งคดีในความผิดฐานนั้นด้วย แต่ก่อนสั่งคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการในเรื่องการแจ้งข้อหาให้ครบถ้วนเสียก่อน”

2.ที่จำเลยสั่งคดีโดยเห็นควรสั่งฟ้องโจทก์ ยังเพิกเฉยในส่วนที่ควบรวมหรือทับซ้อนกับพฤติการณ์หรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องด้วย คือไม่นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 56/2556 และ 73/2556 ซึ่งศาลระบุว่า การคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามที่ รัฐธรรมนูญรับรองไว้เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองโดยมีเหตุผลมาจากความไม่ไว้วางใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล อีกทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน โจทก์ได้ฟ้องดำเนินคดีอาญากับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นคดีอาญาทุจริตหมายเลขดำที่ อท(ผ) 101/2559 หมายเลขแดงที่ อท(ผ) 31/2559 ซึ่งศาลมีคำสั่งคดีมีมูล เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561 ดังนั้นการสั่งคดีเห็นควรสั่งฟ้องโจทก์ของจำเลย จึงเป็นการสั่งคดีที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 216 วรรคห้า และเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 21และฝ่าฝืนระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พุทธศักราช 2547 ข้อ 69

3.จำเลย ได้รับสำนวนการสอบสวนจำนวน 217 แฟ้ม ประกอบด้วยเอกสารจำนวน 57,514 แผ่น
โดยมีผู้ถูกกล่าวหา รวม 51 ราย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 25 57 ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาหลาย 10 วันในการตรวจสำนวนคดี แต่ปรากฎว่าจำเลยได้ใช้เวลาพิจารณาตรวจสอบสำนวนคดีดังกล่าวเพียง 6 วัน แล้วเร่งรีบมีคำสั่งเห็นควรสั่งฟ้องโจทก์และผู้ต้องหาอื่น รวม 48 ราย ในวันที่ 8 พ.ค.57 โดยมีเหตุผลสืบเนื่องจากโจทก์ได้ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 เป็นเอกฉันท์ว่าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับรัฐมนตรีอื่นอีก 9 คน ซึ่งได้สร้างผลกระทบต่อสถานภาพรัฐบาลในขณะนั้น ซึ่งมีอดีตผู้บังคับบัญชาของจำเลย เป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลและกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย จึงเป็นเหตุให้จำเลยบิดผันอำนาจมีคำสั่งเห็นควรสั่งฟ้องโจทก์ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 อย่างเร่งรีบรวบรัดผิดปกติไม่เป็นไปตามกระบวนการตามขั้นตอน โดยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ซี่งศาลฎีกาวางบรรทัดฐานไว้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549 ไว้ว่า “ความอิสระของพนักงานอัยการที่จะวินิจฉัยสั่งคดี ไม่ใช่จะไร้ขอบเขตเสียทีเดียวในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ การใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งคดีของพนักงานอัยการทุกคนจะต้องอยู่ภายในขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย หมายความว่า ถ้าการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการคนใดเกินล้ำออกนอกขอบเขต การใช่ดุลพินิจนั้นย่อมเป็นการมิชอบ…” การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ดังนั้นเพื่อรักษาหลักนิติธรรม และเป็นประโยชน์แก่การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อประโยชน์ของประชาชน จึงนำคดีมาฟ้องอดีตเพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน ในการสั่งคดีของอัยการ จะต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

 

ที่มา : มติชนออนไลน์