เศรษฐา จับเข่าคุย ผู้ส่งออกข้าว ปูพรม สหกรณ์ 400 แห่ง เก็บสต๊อก

นายเศรษฐา ทวีสิน

นบข.ไฟเขียว ตั้ง 3 คณะอนุกรรมการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ปูพรม สหกรณ์ 400 แห่ง เก็บสต็อกข้าว-รักษาเสถียรภาพราคา เศรษฐา เล็ง จับเข่าคุย ผู้ส่งออกข้าว อุ้ม ชาวนา

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญในการประชุมคณะกรรมการ นบข. ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 1/2566 ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังเป็นประธาน ว่า

นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายว่า ข้าวถือเป็นพืชสินค้าหลักของคนไทย และมีหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลุ่มโรงสี กลุ่มผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ผู้ส่งออกรายใหญ่ โดยในเรื่องของการพัฒนาการปลูกข้าวเพื่อให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน เช่น

กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ อยากให้ช่วยกันดูแลเรื่องของผลผลิตให้ได้สูงสุด ส่วนการที่อยากจะมีการเปลี่ยนแปลงราคา หรือ Supply ชั่วคราว ขอให้คำนึงถึงปากท้องพี่น้องประชาชนด้วย ในการจะใช้งบประมาณมาจุนเจือก็ต้องระมัดระวัง

“เรื่องระยะสั้นก็พยายามแก้ไขปัญหากันไป อย่าติดกระดุมผิดเม็ดแล้วก็แก้กันไปจนกระทั่งกลายเป็นปัญหา โดยอีก 2-3 วันนี้ นายกฯมีนัดพูดคุยกับผู้ส่งออกข้าว ขณะที่เรื่องโรงสีก็เป็นเรื่องสำคัญ ธ.ก.ส.ก็สำคัญในการที่จะต้องช่วยเหลือจุนเจือพี่น้องเกษตรกร บางนโยบายก็ต้องอาศัยการช่วยเหลือของ ธ.ก.ส. ถ้าไม่ช่วยเหลือ ไม่ตัดไฟแต่ต้นลมจะเป็นปัญหาใหญ่ลามไปในอนาคตได้ ต้องคำนึงถึงหลักนิติธรรมในการที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ปลูกข้าวทั้งหมด” นายชัยกล่าว

ตั้ง 3 คณะอนุกรรมการ

นายชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุม นบข. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 3 คณะ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของ นบข. ประกอบด้วย

1.คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ ทำหน้าที่เสนอแนวทาง แผนงาน โครงการและมาตรการในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาด้านการผลิตข้าวและชาวนาที่เหมาะสมต่อ นบข. เพื่อให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาระบบการผลิตข้าวโดยรวมของประเทศ รวมทั้งประสาน ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินการตามแผนงานโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด

2.คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานอนุกรรมการ ทำหน้าที่เสนอแผนงาน โครงการ มาตรการ และแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับการตลาดข้าวที่เหมาะสมต่อ นบข. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเกิดผลดี ต่อระบบการค้าข้าวโดยรวม เสนอแนวทางในการส่งเสริมการศึกษาวิจัยการตลาดข้าวที่เหมาะสม ต่อ นบข. อนุมัติแผนงาน โครงการ และมาตรการเกี่ยวกับการตลาด รวมทั้งประสาน ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินการตามแผนงาน โครงการ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด

3.คณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานอนุกรรมการ ทำหน้าที่ ติดตาม กำกับดูแล แก้ไขปัญหา และบริหารจัดการข้าวทั้งด้านการผลิตและการตลาดข้าวในระดับจังหวัดให้มีประสิทธิภาพ และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยพิจารณาคัดเลือกและอนุมัติผู้ประกอบการค้าข้าวที่จะขอรับการสนับสนุนชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ตามโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก

รับทราบสถานการณ์ข้าวโลก

นายชัยกล่าวว่า ที่ประชุม นบข.ยังรับทราบสถานการณ์ข้าวโลกข้าวไทย โดยในส่วนของสถานการณ์ข้าวไทย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (ณ เดือน ต.ค. 66) คาดการณ์ผลผลิตข้าว ปีการผลิต 2566/2567 ภาพรวม ผลผลิต 32.35 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลง จากปีก่อน 2.08 ล้านตันข้าวเปลือก (-6%) นาปี

ผลผลิต 25.57 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลง จากปีก่อน 1.14 ล้านตันข้าวเปลือก (-4%) นาปรัง ผลผลิต 6.78 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลง จากปีก่อน 0.94 ล้านตันข้าวเปลือก (-12%) โดยผลผลิตมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากไทยได้รับผลกระทบจากเอลนีโญ ทำให้ปริมาณน้ำฝนมีน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้บางพื้นที่สามารถปลูกข้าวนาปีได้เพียงรอบเดียว และผลผลิตต่อไร่มีแนวโน้มลดลง

นายชัยกล่าวว่า การส่งออกข้าวไทย : การส่งออกข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสำคัญ ปี 2566 (ม.ค.-ก.ย.) อินเดียส่งออกข้าวได้มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ประมาณ 14.87 ล้านตัน รองลงมาได้แก่ เวียดนาม 6.26 ล้านตัน ไทย 6.08 ล้านตัน ปากีสถาน 1.98 ล้านตัน และสหรัฐ 1.49 ล้านตัน โดยอินเดีย ส่งออกข้าวลดลง (-3%) เนื่องจากมีมาตรการจำกัดการส่งออกข้าว

เพื่อควบคุมราคาข้าวภายในประเทศ เวียดนาม ส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น (+33%) เนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อจากฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไทย ส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น (+12%) เนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อจากอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งได้รับอานิสงส์จากอินเดียห้ามส่งออกข้าวขาว และปากีสถาน ส่งออกข้าวลดลง (-37%) เนื่องจากมีปริมาณข้าวจำกัด จากเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงเมื่อปีก่อน

นายชัยกล่าวว่า การส่งออกข้าวไทย ตลาดส่งออกข้าวสำคัญของไทย ปี 2565-2566 (ม.ค.-ก.ย.) สัดส่วนส่งออก ปี 66 (รวม 100%) ไทยส่งออกข้าวขาวมากเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53 ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด ประเทศที่นำเข้าข้าวขาวที่สำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย อิรัก มาเลเซีย ญี่ปุ่น โมซัมบิก รองลงมาได้แก่ ข้าวนึ่ง 19% ประเทศที่นำเข้าข้าวนึ่งที่สำคัญ ได้แก่ แอฟริกาใต้ บังกลาเทศ เยเมน เบนิน แคเมอรูน ข้าวหอมมะลิไทย 18% ประเทศที่นำเข้าข้าวหอมมะลิไทยที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เซเนกัล ฮ่องกง แคนาดา จีน ข้าวหอมไทย 6% ข้าวเหนียว 3% และข้าวกล้อง 1%

แนวโน้มราคาข้าวไทย

นายชัยกล่าวว่า ราคาข้าวไทย เมื่อเทียบกับปีก่อน ราคาข้าวเปลือกทุกชนิดปรับตัวเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 24% ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 14,800-16,000 บาท เฉลี่ยตันละ 15,400 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่ตันละ 13,599 บาท (+13%) ข้าวเปลือกปทุมธานี ตันละ 12,500-13,000 บาท เฉลี่ยตันละ 12,750 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่ตันละ 10,687 บาท (+19%) ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 11,300-11,800 บาท

เฉลี่ยตันละ 11,400 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่ตันละ 8,984 บาท (+27%) ข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,500-14,800 บาท เฉลี่ยตันละ 13,800 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่ตันละ 9,968 บาท (+37%)

นายชัยกล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์ข้าวไทย ราคาข้าวไทยมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง โดยปัจจัยบวก

1.การบริโภคข้าวในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังฟื้นตัว ทำให้การท่องเที่ยวในประเทศปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

2.การส่งออกข้าวไทยมีแนวโน้มเป็นไปตามเป้าหมาย 8 ล้านตัน จาก 2.1 อินเดียมีมาตรการห้ามส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ ส่งผลให้ข้าวไทยเป็นที่ต้องการในตลาดมากขึ้น 2.2 ค่าเงินบาทอ่อนค่า ส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก 2.3 ตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร

ขณะที่ปัจจัยลบ 1.ปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งจะทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง และอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตข้าวที่จะออกสู่ตลาด 2.สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่อาจจะมีกำลังซื้อลดลงจากปัญหาเงินเฟ้อ

นายชัยกล่าวว่า พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 ตามเป้าหมายหลักที่สำคัญ 1.ลดต้นทุนการผลิต/ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ลดต้นทุนการผลิตไม่เกิน 3,000 บาท/ไร่ หรือ 6,000 บาท/ตัน โดยมีความคืบหน้าอยู่ที่ 3,433 บาท/ไร่ หรือ 5,787 บาท/ตัน ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ 600 กก./ไร่ (จาก 465 กก./ไร่) โดยมีความคืบหน้าอยู่ที่ 593 กก./ไร่

2.สนองความต้องการที่หลากหลายของตลาดข้าว มีความคืบหน้า จัดประกวดข้าวพันธุ์ใหม่ โดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ร่วมกับ กรมการข้าว ได้มอบรางวัลแล้ว 9 สายพันธุ์ (รับรองพันธุ์ข้าวแล้ว 1 สายพันธุ์ คือ กข 95 หรือ ดกเจ้าพระยา) อยู่ระหว่างจัดทำมาตรฐานสินค้าข้าวนุ่ม

และ 3.เพิ่มข้าวพันธุ์ใหม่ ไม่น้อยกว่า 12 พันธุ์ ความคืบหน้า กรมการข้าว ได้รับรองแล้ว 13 พันธุ์ ได้แก่ 1.ข้าวเจ้าพื้นนุ่ม 3 พันธุ์ 2.ข้าวเจ้าพื้นแข็ง 7 พันธุ์ 3.ข้าวหอมไทย 1 พันธุ์ 4.ข้าวโภชนาการสูง 1 พันธุ์ 5.ข้าวเหนียว 1 พันธุ์

ปูพรม สหกรณ์ 400 แห่งสต๊อกข้าว

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการ นบข. แถลงว่า ปัจจุบันราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้น และนับจากนี้ข้าวหอมมะลิจะทะลักเข้าสู่ตลาดมาก จึงต้องสต๊อกการขายข้าวออกไปเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำมากไปกว่านี้

โดยเป้าหมายเกษตรกรชาวนาได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมจากรัฐบาล ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอ 4 มาตรการ ได้แก่ การชะลอการขาย การเก็บสต๊อก สินเชื่อรวบรวมข้าวเปลือกและช่วยเหลือเรื่องต้นทุน ซึ่งจะขออนุมัติวงเงินเพื่อดำเนินการตามมาตรการนี้

“คณะกรรมการ นบข. ได้พิจารณาในวันนี้และเห็นว่า ควรใช้เครื่องมือผ่านสหกรณ์การเกษตร 400 แห่ง ที่ยังดำเนินการอยู่อย่างแข็งแรง จากทั้งหมด 4,000 กว่าแห่ง เก็บสต๊อกข้าวให้มากขึ้น เพื่อชะลอข้าวเข้าสู่ตลาดและรักษาเสถียรภาพราคา โดยให้ ธกส. เป็นเจ้าภาพ รมว.คลังและ รมว.เกษตรฯ ไปประสานกัน กลไกนี้จะทำให้ไม่ต้องขายข้าวออกจากมือไปเร็วและแก้ปัญหาราคาตกลงได้” นายภูมิธรรมกล่าว

นายภูมิธรรมกล่าวว่า คณะกรรมการ นบข.คาดการณ์ราคาข้าวยังมีแนวโน้มที่สูงและสามารถมีเสถียรภาพอยู่ได้หากเก็บข้าวไว้ในสต๊อกได้ดี ฉะนั้นจากสถานการณ์ที่พลิกผันอยู่ตลอดเวลาของโลกจะมีการประชุมอย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาให้ทันเวลา

นายภูมิธรรมกล่าวว่า สำหรับโรงสีมีข้อจำกัดการถูกตัดวงเงินหมุนเวียน ดังนั้นจึงให้กระทรวงการคลังไปเจรจากับธนาคารกรุงไทยให้สามารถขยายสินเชื่อมารองรับการแก้ปัญหา ส่วนข้อเสนอในการปัญหาหลายเรื่องของสมาคมชาวนา เช่น ผลผลิต ต้นทุนการผลิต ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพในการเชิญสมาคมชาวนากับกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในและกรมการค้าต่างประเทศ เข้าร่วมหารือเพื่อหามาตรการรองรับในอนาคต