หักเป็นหัก ไม่สน “บิ๊กตู่” สามมิตร 30 ชีวิต ตบเท้าทวง 3 เก้าอี้ ขับไล่เลขาธิการพปชร.

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 63 หลังจากนายกรัฐมนตรี ออกมาหย่าศึกการแย่งเก้าอี้ว่าที่รัฐมนตรี ในโผ ครม.ประยุทธ์ 2/1 เพียงไม่กี่ชั่วโมง ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กลุ่มสามมิตร ประมาณ 30 คน ได้แสดงพลังตบเท้าเข้าประชุมกลุ่ม ประกอบด้วย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน, นายอนุชา นาคาศัย หลังจากประชุมหารือจบ ได้เปิดแถลงข่าว โดยอ้างว่าการรวมตัววันนี้ต้องการแสดงความยินดีกับว่าที่รัฐมนตรีทั้ง 3 คน

“อนุชา” อ้างสามมิตรเป็นอิฐก้อนแรกก่อตั้ง พปชร.

นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท เคยเป็นว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “กลุ่มสามมิตร เป็นกลุ่มนักการเมืองกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาร่วมกันช่วยสร้างความเติบโตให้กับพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่เริ่มต้นการจัดตั้งพรรค ด้วยอุดมการณ์ที่ต้องเห็นประเทศชาติหลุดพ้นจากปัญหาต่างๆ ที่สะสมมายาวนาน โดยเฉพาะปัญหาปากท้องประชาชน และความขัดแย้งทางการเมือง พวกเราได้ชักชวนบุคคลที่มีแนวคิดทางการเมืองเหมือนกัน ให้เข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐจากทั่วทุกภาคของประเทศ จนมีสมาชิกที่เป็นนักการเมืองเก่า และใหม่ เข้ามาร่วมงานนับมากกว่าหนึ่งร้อยชีวิต แม้จะไม่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ทุกคน แต่ก็ได้ทำให้พรรคพลังประชารัฐได้รับคะแนนจำนวนมากจากทุกเขตเลือกตั้งจนมีคะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งจากทุกพรรคการเมือง”

โดยตั้งแต่วันแรกที่กลุ่มรวมตัวกันขึ้นมานั้น มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายอนุชา นาคาศัย เป็นแกนนำ ได้เสียสละ ทุ่มเท ทำงานให้กับพรรคมาโดยตลอด รวมทั้งคอยช่วยเหลือสมาชิกของกลุ่มที่เป็นผู้สมัคร ส.ส.รวมถึงผู้สมัครของพรรคอีกจำนวนมาก ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา

ยืนยันมติวันที่ 11 มิ.ย. “บิ๊กตู่” รับปาก 3 ตำแหน่ง

ว่าที่รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง “ตามโผเก่า” กล่าวอีกว่า เมื่อผลการเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่ง เพื่อสานต่อนโยบายและนำนโยบายของพรรคพลังประชารัฐไปดำเนินการแก้ไขปัญหาประเทศให้กับพี่น้องประชาชน สมาชิกในกลุ่มสามมิตรทุกคน ต่างมีความเห็นโดยพร้อมเพรียงกัน ในการสนับสนุนให้แกนนำกลุ่มทั้งสามคน ได้เป็นตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในฝ่ายบริหารเพื่อผลักดันนโยบายที่ได้ประกาศหาเสียงไว้กับพี่น้องประชาชน โดยเชื่อมั่นว่าทั้งสามท่านมีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่จะร่วมทำงานภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับ “มติ 11 มิถุนายน 62” ซึ่งนายอนุชา อ้างว่า นายกรัฐมนตรี รับปากว่าจะได้รับตำแหน่งใน ครม. 3 ตำแหน่ง ประกอบด้วย

1. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
2. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
3. นายอนุชา นาคาศัย ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลั

รื้อฟื้นยอมถอย 2 กระทรวง คมนาคม-เกษตรฯ

นายอนุชากล่าวอีกว่า แม้ว่า 3 ตำแหน่งที่คาดว่าจะได้รับ จะไม่ตรงกับความตั้งใจ ในสิ่งที่ทั้งสามคนได้แสดงความเห็นและมีความพร้อมที่ต้องการผลักดันนโยบายในกระทรวงที่สำคัญๆ เช่น นายสุริยะ มีความตั้งใจและประสบการณ์ เหมาะสมกับกระทรวงคมนาคม หรือ นายสมศักดิ์ มีความตั้งใจ ที่จะเข้าไปทำหน้าที่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ตาม แต่สมาชิกในกลุ่มยอมรับ และเห็นตรงกันว่าการจัดสรรตำแหน่งครั้งนี้มีข้อจำกัดในการเป็นรัฐบาลผสม ที่มาจากหลายพรรคการเมือง

แม้นว่าความเห็นของกลุ่มอยากจะเห็นทั้งสามคนได้รับตำแหน่งที่สามารถทำงานได้ตรงกับความตั้งใจ ความรู้ ความสามารถ เพื่อผลักดันนโยบายสำคัญๆ ของพรรคก็ตาม แต่เมื่อทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีได้มีการหารือร่วมกับหัวหน้าพรรคและผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเรียบร้อยจนได้ข้อสรุปและลงตัวในทุกตำแหน่งภายในพรรคพลังประชารัฐไปแล้วเมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา

“สมาชิกในกลุ่มต่างก็ไม่ได้ขัดข้อง เนื่องจากเห็นว่าการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้มีความยากลำบากพอสมควรในการจัดสรรตำแหน่งให้กับพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อไม่มีกระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตร เหลือให้ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐแล้ว กลุ่มเราก็ยอมรับและเห็นด้วยกับข้อสรุปเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ท่านนายกรัฐมนตรี จัดสรรตำแหน่งต่างๆ ให้บุคคลภายในพรรคพลังประชารัฐไปเป็นรัฐมนตรี”

“สามมิตร” 30 คน พร้อมทบทวน “จุดยืน” ถ้า “สุริยะ” ไม่ได้ รมว.พลังงาน

ทั้งนี้ จุดยืนของกลุ่ม สามมิตร มี 5 ข้อดังนี้

1.กลุ่มสามมิตร เห็นว่า นายสุริยะ มีความเหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มากกว่ากระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งอาจถูกวิจารณ์เกี่ยวกับตระกูลของท่านที่มีธุรกิจขนาดใหญ่ทางด้านอุตสาหกรรม โดยท่านอุตตม ในฐานะหัวหน้าพรรค ก็ได้เสนอชื่อท่านสุริยะ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานต่อท่านนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคก็เห็นชอบและไม่ขัดข้องใดๆ ในกรณีที่ท่านสุริยะฯ จะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน การสลับตำแหน่งดังกล่าวย่อมกลับทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลจำเป็นแต่อย่างใด และขอให้นายอนุชาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

ซึ่งหากเป็นไปตามเดิม ก็จะไม่มีความยุ่งยากใดๆ ให้เกิดขึ้นดังที่เป็นข่าว แม้การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีจะเป็นอำนาจโดยตรงของนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่ถ้าหากทางพรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอบุคคลที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งต่างๆ ไปให้พิจารณาแล้ว หากไม่มีปัญหาใดๆ ก็ย่อมสมควรที่จะไปตามข้อเสนอเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติและยอมรับต่อข้อเสนอตัวบุคคลของพรรคต่างๆ ที่ร่วมรัฐบาล เช่นเดียวกัน

2.โดยหากเป็นไปตามข้อ 1.นั้นทางกลุ่มเชื่อมั่นว่าทั้งสามท่านจะสามารถทำงานร่วมกับท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้ออกมาเป็นรูปธรรมอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วอย่างแน่นอน

3.เชื่อมั่นว่า นอกจากงานทางด้านบริหารแล้ว ทั้งสามท่านจะสามารถช่วยงานท่านนายกรัฐมนตรีขับเคลื่อนงานในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน

4.หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือสลับตำแหน่งที่แตกต่างจากข้อ 1.ทางกลุ่ม มีความเห็นตรงกันว่ารัฐบาลจะขาดบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เข้าไปทำหน้าที่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้การบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ และส่งผลในการยอมรับและศรัทธาของพี่น้องประชาชนต่อพรรคพลังประชารัฐ อย่างแน่นอน

5.หลังจากมีการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการออกมาแล้ว หากไม่ตรงกับความเห็นตามข้อ 1.ของกลุ่มในครั้งนี้ ทางกลุ่มจะได้มีการหารือกัน เพื่อแสดงจุดยืน อีกครั้งต่อไป

ขณะที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวด้วยว่า ในการประชุม ส.ส.พรรควันพรุ่งนี้ จะเสนอที่ประชุม ขับไล่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ที่เห็นว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งแม่บ้านพรรค ไม่เคยเข้ามาแก้ปัญหา และยังสร้างความแตกแยก เป็นภัยกับคนในพรรค และเป็นภัยกับความมั่นคง