ธนาธร – ปิยบุตร ขึ้นเวที “อยู่ไม่เป็น” โต้ข้อหา “ชังชาติ”

ผู้สื่อข่าวรายงาน่ว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ห้องกำแพงเพชร ศูนย์การค้าเจเจมอลล์ จตุจักร พรรคอนาคตใหม่จัดงาน “อยู่ไม่เป็น” โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การขึ้นเวทีของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค โดยนายปิยบุตร กล่าวตอนหนึ่ง่า คำว่าอยู่เป็นปล่อยให้นักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ให้คำตอบว่าเกิดขึ้นตอนไหน แต่เท่าที่จำความได้คำว่าอยู่เป็น เกิดขึ้นบ่อยๆ หลัง 22 พ.ค.2557 มีการแซวเล่นว่า นักวิชาการ คนหนุ่มสาว เยาวชน นักเคลื่อนไหวออกไปต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ไม่เป็น ถ้าอยู่เป็นก็เรียนจบกันหมดแล้ว เริ่มมีการหยอกล้อกันว่าประเทศไทยก็อยู่อย่างนี้ เดี๋ยวก็ยึดอำนาจ คนรวยก็รวยต่อไป อยู่เป็นไปอย่างนี้เรื่อยๆ

ช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ตนเจอคนรุ่นใหม่ที่สนามบิน เขาเดินมาคุยกับตนว่าทำธุรกิจสตาร์ทอัพ มาเมืองไทยเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ สิงคโปร์ ใต้หวัน มาเลเซีย ริเริ่มทำสตาร์ทอัพ นี่คือคนที่มีศักยภาพแล้วรู้ว่า สตาร์อัพที่รัฐบาลพูดปากต่อปากไปเรื่อยๆ มีคนกลุ่มเดิมกลุ่มเดียว ลูกหลานเศรษฐีที่ทำได้ ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ที่จะขยับชนชั้นทำธุรกิจแปลกใหม่ได้ คนกลุ่มนี้เขาหนีออกไปเพื่อหาโอกาส ขยับฐานะของตัวเอง กลายเป็นว่าในช่วงที่ผ่านมานี้มีสองทางเลือกอยู่เป็นแม้เห็นว่าไม่ถูกต้อง แต่ต้องเอาตัวรอด อยู่ให้เป็น หรือถ้าทนไม่ไหว แต่มีศักยภาพเพียงพอ ก็เดินทางออกนอกประเทศแล้วเก็บประเทศไทยไว้เป็นที่ท่องเที่ยว ด้วยสภาพการณ์แบบนี้จึงเกิดคำว่าอยู่เป็นกับอยู่ไม่เป็น คำถามที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ด้วยสภาพสังคมที่เป็นอยู่นี้ เราทนอยู่กับมันได้อย่างไร จะทนอยู่เป็นได้อีกอย่างไร

นายปิยบุตร กล่าวว่า การที่เราริเริ่มก่อตั้งอนาคตใหม่เพราะเรามองเห็นสภาพสังคมที่เป็นอยู่นี้แล้วทนต่อไปไม่ได้ต้องเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เราจึงต้องการรวมตัวกันเข้าไปมีอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ สภาพสังคมที่มีความขัดแย้งทางการเมืองร้าวลึก 13 ปี อำนาจอยู่รวบที่ส่วนกลาง รวยกระจุกจนกระจาย สภาพสังคมที่รัฐประหารมาทุกๆ 6-10 ปี ทหารอยู่เหนือรัฐบาลพลเรือน ปล่อยให้คนไทยไม่มีโอกาสขยับชนชั้นได้ ด้วยสภาพแบบนี้ชาวอนาคตใหม่ต้องลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องขออยู่ไม่เป็น

นายปิยบุตร กล่าวว่า พรรคจึงออกแบบนโยบายแล้สมัครเลือกตั้ง มีการตักเตือนว่าเอาสมองส่วนไหนคิด รู้อยู่แล้วว่ากลไกรัฐธรรมนูญ 60 เป็นอย่างไร ระหว่างทางเดินเจอคมหอกคมดาบตลอดทางเดิมแน่นอน แล้วออกแบบนโยบายที่ทะลุทะลวง แล้วอนาคตใหม่จะไปรอดหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดเราตัดสินใจเดินหน้าต่อสู้ในระบบที่เขาออกแบบมา เพราะมั่นใจว่าจะอยู่ในระบบนี้ และเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ให้ดีขึ้นได้ เราออกแบบนโยบายในเชิงระดับโครงสร้าง ตั้งแต่ยุติวงจรรัฐประหาร ทวงคืนประชาธิปไตยกลับมา เขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา

ให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉันทามติของสังคมไทย เป็นรัฐธรรมนูญที่ทุกคนร่วมกันเขียนว่าจะอยู่ในบ้านหลังนี้กันแบบไหน ออกแบบปฏิรูปกองทัพ ทำให้กองทัพขนาดเล็ก ทันสมัยและสมาร์ท ให้กองทัพออกจากการเมืองเป็นกองทัพอาชีพ อยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับแบบสมัครใจและดูแลสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย รวมถึงออกแบบยุติรัฐราชการรวมศูนย์คืนอำนาจสู่ท้องถิ่น ออกแบบสวัสดิการสังคมลดความเหลื่อมล้ำ ออกแบบไม่ให้ทุนผูกขาดกินรวบทั้งประเทศ ปฏิรูปการศึกษาสำหรับคนทุกๆ คน จึงนำมาสู่เหตุเพศภัยที่อนาคตใหม่ประสบอยู่ แรกๆ เชื่อว่านโยบายแบบนี้น่าจะสร้างคามไม่สบายใจให้กับผู้ครองอำนาจแน่นอน แต่พวกเขาดูแคลนว่าไอ้ละอ่อนพวกนี้ ลงเลือกตั้งได้แค่แค่ 5 เสียง 10 เสียง ไม่เป็นอันตรายแน่แท้

“แต่เรื่องเปลี่ยนไป หลัง 24 มี.ค.2562 ผลการเลือกตั้งออกมา 6.3 แสนเสียง ได้ ส.ส.89 คน แต่โดนขโมยไปเหลือ 81 เสียง ได้แรงสนับสนุนจากคนทุกกลุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นำมาสู่คดีความ จนบัดนี้ทะลุยอด 25 คดีแล้ว หลังเลือกตั้งเร่งเหลือเกินอย่างน่าผิดสังเกต นักร้องเต็มประเทศไทย บางเรื่องอยู่ในชั้นตำรวจ อยู่ใน กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ดีๆ มีเพจแปลกใหม่ๆ เกิดขึ้นและพูดความเท็จปนจริงทำลายล้างอนาคตใหม่ เกิดสื่อบางสำนัก บางค่าย พูดถึงอนาคตใหม่ในแง่ลบทุกวัน เช่นเดียวกัน เราถูกกล่าหา ใส่ร้ายป้ายสีบางทีบอกว่าเป็นพวกชังชาติ ปั่นหัวเด็กคนรุ่นใหม่ เป็นซอมบี้ เพื่อทำลายล้างคาชอบธรรมการมีอยู่ของ อนาคตใหม่และปรากฏการณ์ของคนอยู่ไม่เป็นที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะชี้นิ้วด่ากราดมาว่าโดนล้างสมอง ควรจะต้องชี้นิ้วกลับไปที่ตัวเองสร้างบ้านเมืองมาอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าสร้างบ้านเมืองให้ดีไม่จำเป็นต้องมีอนาคตใหม่” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า นานวันเข้า กล่าวหาเราแรงขึ้น ยืนยันฝ่ายที่ไม่ชอบเรา มองเราเป็นศัตรูพอที่จะเข้าใจได้ เพราะเป็นการต่อสู้ทางการเมือง แต่ถ้าไม่เห็นด้วยกับเราเอาความมุ่งมั่นปรารถนาดีของเราไปบิดเบือน เปลี่ยนแปลง บอกว่าเป็นศัตรูของชาติเรายอมไม่ได้เป็นอันขาด เป็นไปได้อย่างไรความมุ่งมั่นว่าอยากเปลี่ยนแปลงให้ประเทศดีกว่านี้ถูกดันแปลงกลายเป็นเรื่องชังชาติ ดังนั้น อนาคตใหม่ไม่ใช่พวกชังชาติ แต่พวกเรารักชาติ ชาติที่มีประชาชนอยู่ในนั้น ชาติที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ชาติที่เคารพความแตกต่างหลากหลาย ชาติที่ให้พวกเราอยู่อย่างสันติสุข นี่ไม่ใช่การชังชาติ

นายปิยบุตร กล่าวว่า เช่นเดียวกัน การวิพากษ์รัฐบาล การต้องการประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ไม่เห็นด้วยกับทหารที่แทรกแซงการเมืองอยู่เหนือรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นว่าเล่น ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นกบฏ ต้องการล้มล้าง ต้องการเปลี่ยนแปลง และที่มีการกล่าหากันเราไม่ใช่พวกล้มเจ้า ความต้องการของเรามีเพียงต้องการให้ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง เราไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่อยู่ดีๆ ทหารออกมายึดอำนาจทุกๆ 4-6ปี แต่เราต้องการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งพระประมุขคือพระมหากษัตริย์ และได้รับการยกย่องเทิดทูลอย่างทรงพระเกียรติยศ ไม่ทรงถูกใครคนใดคนหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งถูกนำมาใช้แอบอ้างเพื่อโจมตีทางการเมือง การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดถูกต้องที่สุด คือกีดกันไม่ให้คนใดคนหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแอบอ้างสถาบันมาทำลายล้างกันทางการเมือง

“เช่นเดียวกัน อนาคตใหม่ เราไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ไม่เคารพประชาธิปไตย แต่บอกว่าเราไม่เคารพกฎหมาย แต่ลืมส่องกระจก ตัวเองละเมิดกฎหมายคนแรก เข็นรถถังออกมายึดอำนาจ 22 พ.2557 โทษสูงสุดอาญาฐานกบฏ ล้มล้างรัฐธรรมนูญ โทษสูงสุดคือประหาชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่คนพวกนี้ยึดอำนาจเสร็จแล้วตั้งตนว่าเป็นพวกที่มีอำนาจสูงสุด เที่ยวขีดเที่ยวเขียนใส่กระดาษแล้วพ่นลงไปบอกว่านี่คือกฎหมาย แต่จริงๆ คือปืนแล้วเอากฎหมายแต่เป็นปืนแล้วเอากฎหมายมาห่อให้สวยๆ แล้วบอกว่าพกเอ็งต้องเคารพกฎหมาย ทั้งที่ตัวเองละเมิดกฎหมายคนแรก” นายปิยบุตร กล่าว

ต่อมา นายธนาธร กล่าวว่า การเดินทางของพรรคอนาคตใหม่จากวันแรก พ.ค. 61 ถึงวันนี้เป็นเวลา 540 วัน จากวันที่เริ่มต้นเพราะคนอยู่ไม่เป็น 3 คน กลายเป็นผู้ร่วมจดจัดตั้งพรรค 26 คน จากนั้นจึงมีสมาชิกเริ่มแรก 670 คน ร่วมจดจัดตั้ง ต่อมาขยับเป็นทีมจังหวัด 77 จังหวัด กลายเป็นผู้สมัคร ส.ส.ที่มีทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อชุดแรก 474 คน กระทั่งกลายมาเป็นคะแนนเสียงมากกว่า 6,300,000 คน และมีสมาชิกพรรคมากกว่า 60,000 คน ในปัจจุบัน ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนและทุกหัวใจที่ผลักดันให้มาจนถึงจุดนี้ ทั้งนี้ เหตุผลที่ตนร่วมตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้น เพราะเชื่อมั่นว่า พรรคการเมืองจะสามารถเป็นเครื่องมือที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นได้ และสาเหตุที่ทุกคนมารวมกันก็เพราะมีปลายทาง มีความฝันเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ เป็นคนเท่ากัน ไม่ว่าคนนั้นคนจะรวย จน สูงศักดิ์ เป็นชาวนาดำกร้าน นับถือศาสนาหรือไม่นับถือ เป็น LGBTQ หรือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใดก็ตาม

“ปลายทางของเราคือ ทุกคนในสังคมไทยมีสิทธิและเสรีภาพ ได้รับสวัสดิการที่ดี เราต้องการเห็นเทคโนยีก้าวหน้าที่ไม่ต้องพึ่งต่างชาติ มีอุตสาหกรรรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเปี่ยมไปด้วยความหมาย เป็นประเทศที่กระจายอำนาจอย่างเท่าเทียม ไม่มีเศรษฐกิจผูกขาด มีความเข้มแข็งในระดับนานาชาติที่ไม่ใช่การมีเรือดำน้ำ แต่เข้มแข็งเพราะมีมนุษยธรรม ได้รับความเคารพนับถือจากนานาชาติ พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนบ้านยามลำบาก พร้อมที่จะต่อสู้กับความยากจนและเดินไปด้วยกัน เราต้องการประเทศไทยที่คนทุกคนเท่าเทียม เท่าทัน และทัดเทียมกับโลก” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวต่ออีกว่า เพื่อไปสู่จุดหมายนั้น พรรคอนาคตใหม่กลับถูกกล่าวหาว่าหัวรุนแรง ก้าวร้าว ชังชาติ และอยู่ไม่เป็น แต่ความจริงแล้วจุดเริ่มต้นและการดำรงอยู่ของพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้เริ่มจากความเกลียดชัง แต่เริ่มเพราะความรัก เห็นคนตกงาน เห็นความลำบาก เห็นชีวิตที่อัตคัดขัดสนข้างนอก คำถามคือเราได้เห็นชีวิตพวกเขาแล้วร้องไห้ไหม ได้ยินแล้ว ยังปล่อยให้เขาดิ้นรนต่อสู้กับระบบที่ไม่เป็นธรรมอย่างเดียวดายหรือไม่ หรือเป็นเพราะสังคมถูกโบยตีด้วยแส้หมดแล้วจึงด้านชาไม่รู้สึกอะไร หัวใจของพวกเรายังอุ่นอยู่ มีเลือดมีเนื้อ สามารถแบ่งทุกข์เฉลี่ยสุขกันได้ นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อ การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของพรรคอนาคตใหม่จึงไม่ได้เริ่มจากความเกลียดชัง แต่เริ่มจากความรักในความเป็นมนุษย์ รักในความเป็นคนในสังคมเดียวกัน จึงก่อเกิดเป็นทางสายนี้ขึ้น

 

“บางคนบอกว่า พรรคอนาคตใหม่หัวรุนแรง จะทำให้สังคมพังเพราะเปลี่ยนแปลงเร็วไป แต่อยากให้หันไปดูว่า ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีในเวลานี้หรือไม่ เห็นความยากจน อัตคัด ที่ดำรงอยู่หรือไม่ ดังนั้น สิ่งที่ต้องกลัวไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เร็วไป แต่ต้องกลัวว่า ถ้าอยู่เป็นและกลัวเปลี่ยนแปลงแล้วมันจะสายเกินการณ์” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวทิ้งท้ายว่า การอยู่ไม่เป็น หมายถึง เรามองเห็นความเป็นไปได้ที่ตั้งอยู่บนศักยภาพที่หนักแน่น มั่นคง เราเชื่อในศักยภาพของคนไทยว่าจะสามารถพาประเทศไทยไปไกลกว่านี้ได้ รวมทั้งมองเห็นศักยภาพของชาวอนาคตใหม่ที่มีความแน่วแน่ จึงมองไม่เห็นเลยว่า ถ้าเราเริ่มเดินทางตั้งแต่วันนี้ทำไมเราจะทำไม่ได้ อนาคตใหม่ไม่ใช่สำนักงาน ไม่ใช่ตึกรามบ้านช่องหรือออฟฟิศ แต่อนาคตใหม่คือเจตจำนงค์ที่แน่วแน่ อนาคตใหม่ไม่ใช่เพียงแค่พรรคการเมืองแต่คือการเดินทาง อนาคตไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือเรื่องของกลุ่มผลประโยชน์ส่วนบุคล แต่คือผู้คนที่มีปลายทางการเดินทางไปที่เดียวกัน อนาคตใหม่ไม่ใช่ผม แต่คือพวกเรา ที่พร้อมเดินทางไปด้วยกัน