ฝ่ายค้าน รุมอัดงบตำรวจ ยุค “ประยุทธ์” ซื้ออาวุธเพิ่มขึ้น 632 เท่า

ส.ส.ก้าวไกล-เพื่อไทย อัดงบตำรวจ ยุคสีกากี ยุค “ประยุทธ์” ซื้ออาวุธเพิ่ม 532 เท่า นับตั้งแต่ปี 61 ราวกับจะตั้งกองทัพ

วันที่ 21 สิงหาคม 2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วาระที่ 2 เป็นวันที่ 4 โดยการพิจารณาถึงมาตรา 27 งบประมาณของส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง และหน่วยงานภายใต้การควบคุมดูแลของนายกรัฐมนตรี

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างน้อย ที่ขอสงวนความเห็น อภิปรายขอปรับลดงบประมาณว่า ตนปรับลดงบประมาณในโครงการจัดซื้ออาวุธสงคราม 3 โครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)

คือ การจัดซื้อปืนเล็กสั้น 1,000 กระบอก การจัดซื้อปืนเล็กยาว 2,000 กระบอก และปืนกลมือ 4,000 กระบอก รวม 7,000 กระบอก ทั้งที่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานั้นมีการศึกษาผลกระทบถึงการสะสมอาวุธสงครามที่เพิ่มขึ้น

พบว่าการสะสมอาวุธ นอกจากจะไม่ได้ช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรมแล้ว ยังมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงกับประชาชน ยกตัวอย่าง จอร์จ ฟลอยด์ ตลอด 25 ปีที่ผ่านมาสหรัฐ ซื้อปืนให้ตำรวจ 7.8 หมื่นกระบอก คิดเป็น 24 กระบอกต่อประชาชน 1 แสนคน

เมื่อหันกลับมาดูไทย ภายใต้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ปี 2561-2563 เราซื้อปืนให้ตำรวจไปแล้ว 7.3 หมื่นกระบอก รวมอีก 7,000 กระบอก กระบอกที่จะซื้ออีกปี 2565 นี้ รวม 8 หมื่นกระบอก คิดเป็น 116 กระบอกต่อประชาชน 1 แสนคน

“เมื่อนำไปเทียบกับสถิติของสหรัฐ เท่ากับว่า ตำรวจไทยสะสมอาวุธสงครามต่อจำนวนประชากรมากกว่าสหรัฐถึง 5 เท่า ในระยะเวลาที่เร็วกว่า 5 เท่า รวมซื้ออาวุธมากกว่าถึง 25 เท่า” นายพิจารณ์กล่าว

นายพิจารณ์ กล่าวว่า เข้าใจว่าตำรวจบางหน่วยต้องใช้อาวุธสงคราม แต่ที่เป็นประเด็นปัญหาคือ ในช่วงปี 2553-2556 มีการซื้ออาวุธสงครามให้ตำรวจเพียง 116 กระบอกเท่านั้น เพิ่งจะมาเพิ่มจำนวนช่วงของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ โดยหลังปี 2561 เป็นต้นมามีการซื้อมากกว่า 632 เท่า ราวกับจะตั้งกองทัพ ยิ่งต้องตั้งคำถาม

เพราะความจำเป็นของการซื้อปืน 7,000 กระบอกนี้ เป็นคนละส่วนกับ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ที่เพิ่งซื้อไป 280 กระบอก เมื่อปี 2561 เป็นคนละส่วนกับกองบังคับการปราบปราม ที่ซื้อไปเมื่อปี 2561 และ 2563 อีก 268 กระบอก

คนละส่วนกับสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ที่เพิ่งซื้อไปในปี 2563 อีก 150 กระบอก เป็นคนละส่วนกับกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่เพิ่งซื้อไปในปี 2564 อีก 84 กระบอก และเป็นคนละส่วนกับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่เพิ่งซื้อไปในปี 2564 อีก 500 กระบอก เหตุผลความจำเป็นของปืน 7,000 กระบอกนี้ มันมากเกินไปแล้ว

ขอปรับลดกำลังพลกองทัพ

นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างน้อย ใช้สิทธิสงวนความเห็น อภิปรายปรับลดงบประมาณของ สตช. 7% วันนี้ สตช. มีกำลังพล 212,982 นาย มีระดับนายร้อยขึ้นไป 63,288 คน

ถือเป็นกองกำลังที่ใหญ่มาก คิดเป็นอัตราส่วนตำรวจ 1 คนต่อประชาชน 304 คน ตนคิดว่าสัดส่วนนี้มากเกินไป ถ้าอัตราเท่านี้แล้วยังมีนักโทษเต็มคุกและยังมีปัญหาอาชญากรรมมากมาย ก็ถือว่าไร้ประสิทธิภาพ เราจึงจะต้องลดกำลังตำรวจ

ในประเทศที่เจริญแล้วแทบมองหาตำรวจไม่เจอเลย ตำรวจอยู่ในที่ตั้งของตำรวจ ไม่ได้ออกมาทำมาหากินเบียดเบียนประชาชน แต่เมื่อคุณทำผิดกฎหมาย ตำรวจจะมาทันที ตำรวจทราบได้อย่างไรว่าเราทำผิดกฎหมาย นี่คือเทคโนโลยีและการบริหารจัดการดูแลบ้านเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ

“หากเราลดกำลังตำรวจจาก 2 แสนนาย เหลือ 1 แสนนาย แล้วนำเงินไปดูแลสวัสดิการ ที่พักอาศัย เบี้ยเลี้ยง และครอบครัวตำรวจ จึงอยากให้บริหารจัดการกำลังของตำรวจให้เล็กลง แล้วใช้เทคโนโลยีทดแทนให้มากขึ้น เพื่อที่จะควบคุมและสร้างประสิทธิภาพให้ตำรวจไทย” นายพิเชษฐ์ กล่าว

เหน็บ คฝ. ของบแค่ 3 ล้าน

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. กทม.พรรคก้าวไกล ใช้สิทธิอภิปรายสอบถามไปยังกรรมาธิการงบประมาณ เพราะมาตรา 27 มีงบ สตช. 32,776,031,300 บาท ถูกปรับลดเพียง 55 ล้าน อยากตั้งคำถามว่า การทำงานของ สตช.เวลานี้ถูกจับตามองของประชาชน เนื่องจากได้ใช้ตำรวจหน่วยควบคุมฝูงชน เข้าควบคุมสถานการณ์จนเกิดความรุนแรง

ทั้งที่การออกมาเรียกร้องของประชาชนเพื่อหาทางรอดจากวิกฤตต่าง ๆ จากการความล้มเหลวของผู้บริหารราชการแผ่นดินที่ทำให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตาย คนที่ออกมาเรียกร้องหันไปข้างหลังพ่อแม่ ป่วยไม่มีเตียง ไม่มียารักษา ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มความรุนแรงขึ้นหลังการยุติการชุมนุมในแต่ละวัน และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

มีความพยายามที่จะส่งสัญญาณมาจากเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย บอกว่า การใช้อาวุธ กระสุนในการฝึกนั้นยากลำบากอย่างยิ่ง เซ็นเบิกมาตอนฝึกซ้อม 100 นัดได้ยิงจริงประมาณ 20 นัด อีก 80 เรียกว่านายเล่นยอด เอาไปปล่อยสนามยิงปืน ปล่อยตามพรรคพวกเอาไปขายตามตลาดมืด

“แต่นี่สถานการณ์การชุมนุมที่ออกมาปราบประชาชน มีการพูดถึงว่ายิงเลย ตรงนี้กระสุนไม่อั้น มีภาพการฝึกซ้อมจึงต้องถามหาว่าการปราบปรามประชาชนที่ใช้หลักสากล และบอกว่ามีภาพการฝึกซ้อมเป็นขั้นเป็นตอน คิดว่าตอนนี้เป็นหลักสาแก่ใจมากกว่า” นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชากล่าวว่า และหน่วยงานควบคุมฝูงชน (คฝ.) ปีนี้ทำงานเยอะเป็นพิเศษ แต่กระมิดกระเมี้ยนของบมา 3 ล้าน ซื้อแผงเหล็กเท่านั้น แต่ตนไม่เชื่อว่าจะใช้เงินมา 3 ล้านเท่านั้น เพราะในปี 2564 คฝ. ของบ 893 ล้านบาท เป็นสิ่งที่เอามาใช้ในวันนี้ คือ โล่ตำรวจ กระสุนยาง กระบองยาง

อยากสอบถามว่างบ 893 ล้านที่อนุมัติไปปีที่แล้วสุดท้ายมาทำลายประชาชน ขณะนี้มีความรู้สึกอย่างไร และตนสามารถตัดสินใจได้ไม่อนุมัติให้แม้แต่บาทเดียว

ด้านนายวิเชียร ชวลิต กรรมาธิการ ชี้แจงมาตรา 27 ในภาพรวม โดยระบุตอนหนึ่งถึงการของบประมาณของ สตช. ว่า เป็นการจัดซื้อเนื่องจากครบอายุการใช้งานและซื้อทดแทนของเก่าที่หมดอายุการใช้งาน เป็นการจัดหาการทดแทน เช่น อาวุธปืน หรือ กรณีรถดับเพลิง เป็นการซ่อมแซม จากที่มีการรับโอนมา 150 คัน ใช้ในภารกิจป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมผ่านงบมาตรา 27 ด้วยเสียง 245 ต่อ 119 งดออกเสียง 1 จากผู้เข้าร่วมประชุม 364 คน