ประยุทธ์ เดินหน้าพลิกโฉมภูเก็ต ดึงเงินต่างชาติ 6 หมื่นล้าน ช่วงฤดูหนาว

ประยุทธ์
พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

“ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ปลื้ม “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์-สมุยพลัส” เตรียมพลิกโฉมภูเก็ต ไตรมาส 4/2564 ถึง ไตรมาส 5/2565 ดึงต่างชาติมาท่องเที่ยว-ทำงาน ไม่ต่ำกว่า 5 พันคนต่อวัน คาดรายได้สะพัด 6 หมื่นล้านบาท 

วันที่ 1 ตุลาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ระบุถึงการดำเนินการโครงการทางเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีข้อความทั้งหมดดังนี้

ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เมื่อวานนี้ (30 ก.ย.) ตนได้เร่งรัดให้มีการดำเนินการโครงการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ให้นโยบายไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน ม.33, 39, 40 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด โดยกระทรวงแรงงาน ซึ่งมีผู้ประกันตนได้รับการเยียวยาไปแล้วกว่า 12 ล้านคนจากกิจการมากกว่า 11 ล้านแห่ง และมีนายจ้างมากกว่า 1.5 แสนกิจการที่ได้รับการช่วยเหลือ รวมแล้วมีเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึงมากกว่า 9 หมื่นล้านบาท

นอกจากนั้น ยังมีมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูภาคธุรกิจด้านการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมียอดสินเชื่อฟื้นฟูที่อนุมัติแล้ว มากกว่า 1 แสนล้านบาท มีกิจการที่ได้รับความช่วยเหลือมากกว่า 3 หมื่นราย ซึ่งกระจายตัวไปสู่ SME ที่เป็นกระดูกสันหลังของการจ้างงานในประเทศได้อย่างทั่วถึง และเป็นกิจการในต่างจังหวัดมากถึง 68%

รวมทั้งโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ที่ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ มียอดอนุมัติเข้าร่วมโครงการแล้วถึงมากกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนั้นยังมีการพิจารณามาตรการใหม่เพิ่มเติม คือการรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SME (Job Retention & SME Boost Up) โดยรัฐจะจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริมและรักษาการจ้างงานผ่านนายจ้างทุกเดือน

ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น อีกหนึ่งภาคอุตสาหกรรมสำคัญ ที่เป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ และได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา นั่นคือภาคการท่องเที่ยว ทำให้ผมต้องคิดหาวิธีการที่จะรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมโรคและการเปิดรับนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชนอีกครั้ง จึงได้เกิดโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” เป็นโมเดลพื้นที่ทดลองตั้งแต่เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา

ซึ่งความสำเร็จของภูเก็ต แซนด์บอกซ์ ทำให้เราสามารถขยายโครงการไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ เรียกว่า Phuket Extension (ภูเก็ต + สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา และ 7 เกาะท่องเที่ยว) และตามมาด้วยโครงการ Samui Plus ที่เกาะสมุย ซึ่งนับตั้งแต่ 1 ก.ค. – 27 ก.ย.64 (รวม 89 วัน) โครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2,330 ล้านบาท

โดย Phuket Sandbox ได้รับนักท่องเที่ยวทั้งหมด 37,576 คน เกิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 5,500 บาทต่อวัน และวันพักเฉลี่ย 11 วัน (หรือประมาณ 61,000 บาทต่อคนต่อทริป) คิดเป็นการสร้างรายได้รวมมากกว่า 2,254 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดการจองที่พักทั้งสิ้น (ก.ค. 64 – ก.พ. 65) รวม 695,418 วัน

ส่วน Phuket Extension ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยว 384 คน วันพักเฉลี่ย 5.2 วัน ก่อให้เกิดรายได้มากกว่า 12 ล้านบาท ในขณะที่ Samui Plus นั้น มีนักท่องเที่ยว 878 คน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 6,000 บาทต่อวัน และวันพักเฉลี่ย 12.6 วัน ก่อให้เกิดรายได้ มากกว่า 66 ล้านบาท ซึ่งผมเห็นว่าเป็นความสำเร็จเบื้องต้นที่งดงาม และไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการแพร่ระบาดโรคจนไม่สามารถควบคุมได้

เตรียมพลิกโฉมภูเก็ต ดึงนักท่องเที่ยว-ทำงาน 5 พันคนต่อวัน

จากความสำเร็จนี้ รัฐบาลจึงเดินหน้าต่อไปในการขยายผล ตามแนวทาง “พลิกโฉมประเทศไทย” โดยจะทำการ “พลิกโฉมภูเก็ต” ให้เป็นจุดหมายระดับโลก (World-Class Destination) ที่เน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

รวมถึงผู้ที่มา “ทำงานด้วย เที่ยวไปด้วย” (Workation) ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 -ไตรมาส 1 ปี 2565 โดยคาดว่า จะมีชาวต่างประเทศ ทั้งนักท่องเที่ยวและเข้ามาทำงาน เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 5,000 คนต่อวัน (รวม 1 ล้านคน) และจะสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 60,000 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากทวีปยุโรป (รัสเซีย อังกฤษ กลุ่มประเทศนอร์ดิก เยอรมนี เป็นต้น) กว่า 500,000 คน ช่วงฤดูหนาวนี้ (ต.ค. 64 – มี.ค. 65)

นอกจากนี้ จะมีการลงทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาระบบการลงทะเบียนต่าง ๆ แบบออนไลน์ สำหรับอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างประเทศ เช่น ใบรับรองการฉีดวัคซีน ใบรับรองสุขภาพ ผลตรวจโควิด เป็นต้น ซึ่งตนและรัฐบาลจะเร่งดำเนินการผลักดันนโยบายนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วและพร้อมเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดเทศกาลฤดูหนาวนี้

หลังจากที่ต้องผ่านการล็อกดาวน์มาเช่นกันในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการเปิดเมืองอื่น ๆ นอกจากภูเก็ตในระยะต่อไปด้วย ซึ่งในตอนนี้ เป็นที่น่าภูมิใจว่าหลายจังหวัดและพื้นที่ของไทย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ติดอันดับระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพ ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นเมือง Workation อันดับหนึ่งของโลก รวมถึงภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ กระบี่ และอีกหลายแห่ง

ดังนั้นพวกเราเอง ทั้งผู้ประกอบการ ภาคบริการ จังหวัด และพี่น้องประชาชน ต้องช่วยกันคิดว่า จะทำอย่างไร จะให้ชาวต่างชาติที่เลือกเดินทางมาประเทศไทยหลังล็อกดาวน์นี้ ได้สัมผัสกับความเป็นไทย ยิ้มสยาม ความจริงใจ การต้อนรับที่อบอุ่น และน้ำใจคนไทยในฐานะ “เจ้าบ้าน”

รวมทั้งความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดระยะเวลาที่พักผ่อน หรือทำงานอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเราชาวไทยทุกคนจะต้องช่วยกัน สร้างบรรยากาศความประทับใจให้เกิดขึ้น ช่วยให้ชาวต่างชาติที่มีคุณภาพเหล่านี้คิดถึง และอยากกลับมาบ้านเราอีกบ่อย ๆ ใช้เวลาอยู่นาน ๆ และบอกต่อกันไปถึงความน่าเที่ยว น่าทำงาน และ “น่าอยู่” ของประเทศไทย ให้เกิด “World-Class Destination” เพิ่มขึ้นในทุก ๆ แห่งที่พวกเขาได้ไปสัมผัส