นพ.สุรพงษ์ : 45 ปี 6 ตุลา : จดหมายถึงเยาวมิตร ใน “กล่องฟ้าสาง”

หมอเลี้ยบโพสต์ถึง 6 ตุลา

หมอเลี้ยบโพสต์จดหมายถึงเยาวมิตรใน “กล่องฟ้าสาง” บอกเล่าความทรงจำในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่เปลี่ยนชีวิตตัวเองจากที่เคยใฝ่ฝันเป็นหมอรักษาคนไข้ กลายเป็นหมอรักษา “คน” ก่อนมุ่งหน้าเข้าสู่การเมือง พร้อมฝากบทเรียนถึง “เยาวมิตร” 

วันที่ 6 ตุลาคม 2564 นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือหมอเลี้ยบ อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเนื่องในวันครบรอบ 45 ปี 6 ตุลา 2519 ดังนี้

45 ปี 6 ตุลา : จดหมายถึงเยาวมิตร ใน “กล่องฟ้าสาง”

เยาวมิตรที่รัก

ฉันเห็นแววตาของเธอบนใบหน้าเปื้อนเหงื่อซึ่งสะท้อนแสงแดดอุ่นยามบ่ายกลางที่ชุมนุมประท้วงด้วยความสุขใจระคนห่วงใย

แววตาแบบเดียวกันนี้ ฉันเคยเห็นซ้ำ ๆ ตั้งแต่เมื่อ 45 ปีก่อน เมื่อฉันส่องกระจกเงาแล้วเพ่งมองใบหน้าผอมบางของเด็กหนุ่มวัย 19 ปีในนั้น

แววตาแบบนี้ไม่เคยกลัวใคร ไม่เคยลังเลที่จะเดินไปข้างหน้าแม้รู้ว่ามีอุปสรรคมากมายรออยู่ และแววตาแบบนี้แหละ-ไม่ระย่อต่อความทุกข์และความตาย

ฉันจำฝังใจว่าฉันได้แววตาร้อนแรงแบบนี้มาพร้อมกับหยาดน้ำเอ่อท้นในดวงตา หลังจากฉันเดินหันหลังกลับออกมาจากความโหดร้ายใต้ต้นมะขามสนามหลวงตอนเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519

นับแต่วันนั้นฉันก็ไม่ใช่ฉันคนเดิมอีก ฉันไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เพียงใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ อยากมีชีวิตที่ดี มีครอบครัวอบอุ่น สะสมเงินทอง แล้วจากโลกนี้ไปบนเตียงนุ่มสบายในวงล้อมของคนรัก

ฉันบอกกับตัวเองในวันนั้นว่า ฉันจะใช้ชีวิตของฉันให้คุ้มค่ากับที่เกิดมาเป็น “คน” เมื่อฉันเป็นหมอ ฉันจะไม่ใช่หมอรักษา “ไข้” แต่เป็นหมอรักษา “คน” ฉันจะไม่รักษาผู้ป่วยทีละคน แต่ฉันจะต้องรักษาผู้ป่วยทั้งสังคม

ดังนั้น เวลาที่เหลืออยู่อีก 3 ปีของการเป็นนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัย ฉันจึงไม่เพียงเรียนรู้ในห้องเรียน ในตึกผู้ป่วย และในห้องผ่าตัด แต่ฉันกลับได้เรียนรู้อีกมากมายผ่านการเขียนใบปลิว ทำหนังสือพิมพ์กำแพง วาดการ์ตูนล้อเผด็จการ ประชุมกลุ่มแกนนำนักศึกษาอย่างลับ ๆ รื้อฟื้นกิจกรรมนักศึกษาขึ้นมาใหม่จนก่อตั้งสโมสรนักศึกษา 16 สถาบันเพื่อรับบทบาททดแทนศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย

แต่ฉันได้ตระหนักรู้จากบาดแผลในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เช่นกันว่า การแย่งชิงอำนาจจากเผด็จการกลับคืนมาให้ประชาชนนั้น อาศัยเพียงศรัทธาและความวิริยะอดทนไม่มีทางสำเร็จ ฉันต้องมีสติและมีปัญญาด้วย

ฉันจึงทบทวนบทเรียน 3 ปีของขบวนการนักศึกษาไทยอย่างเอาจริงเอาจัง และอ่านหนังสือที่ให้บทเรียนของขบวนประชาธิปไตยในทางสากล ฉันได้พบว่า “ฉันไร้เดียงสาและยังไม่รู้อีกมาก” ยิ่งได้ทราบข่าวความขัดแย้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และข่าวเพื่อนมิตรที่ไปสู่ป่าเขาต้องก้มหน้ากลับคืนสู่เมืองอย่างผู้ปราชัย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า “ฉันไร้เดียงสาและยังไม่รู้อีกมาก”

หลังจบการศึกษาฉันไปเป็นหมอบ้านนอกใช้ชีวิตหมออยู่กับชาวบ้าน แม้ต่อมากลับมาเป็นอาจารย์แพทย์ แต่คำสัญญาแห่งเดือนตุลาในวัยเยาว์ยังซุกเป็นดอกตูม ๆ รอวันบานอยู่ในใจของฉันเสมอ จนกระทั่งในค่ำคืนของวาระครบ 20 ปี 6 ตุลาคม 2519 ดอกไม้ที่เฝ้าบ่มเพาะมานานจึงได้เวลาผลิบาน หลังจากคืนนั้นฉันตัดสินใจทิ้งชีวิตราชการเพื่อเข้าสู่การเมืองในระบบรัฐสภา และได้ทำความฝันเรื่องรักษาผู้ป่วยทั้งสังคมให้เป็นจริง

ผ่านมา 45 ปี ชีวิตฉันเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา มีขึ้นมีลง มีเอี้ยวซ้ายมีเอียงขวา ดังนั้น วันนี้เมื่อฉันมองกระจก แม้เห็นแววตาคู่เดิมซึ่งร้อนแรงเหมือนไฟไม่ระย่อทุกมรสุม แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ ฉันยังพบเห็นความนิ่งเหมือนหิน ความยืดหยุ่นเหมือนน้ำ และความเย็นเหมือนลมในแววตานั้นด้วย

กาลเวลาพิสูจน์คนและพิสูจน์สัจธรรมว่า สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีสิ่งใดอยู่คงทน

ฉันจึงเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในรอบ 4 ทศวรรษทั้งชีวิตของตนและบ้านเมืองด้วยความเข้าใจ หนักแน่นและนิ่งเหมือนหิน

ฉันแหวกว่ายไปยังจุดหมายข้างหน้าตลอดหลายสิบปีอย่างเสมอต้นเสมอปลายด้วยความยืดหยุ่นพลิกแพลงเหมือนน้ำ

และทุกวันเวลาที่ผ่านไป ฉันไม่เคยยอมโบยตีตัวเอง แต่กลับเก็บรักษาความสุขสงบไว้ในใจอย่างประณีตเหมือนมีสายลมเย็นพัดผ่านเบา ๆ

เพราะฉันรู้ดีว่า จุดหมายปลายทางของความฝันแสนยาวไกล ถ้าฉันไปถึงจุดหมายในอายุขัยของฉันย่อมดีเลิศ แต่ถ้าฉันไม่มีโอกาสนั้น ลูกของฉันก็จะเดินทางต่อไป และถ้าเขายังไม่ถึงจุดหมาย ฉันเชื่อมั่นว่าหลานของฉันก็จะออกเดินต่อไปอีก ไม่ลดละเลิกราง่าย ๆ

นี่ยังไม่นับว่า แดนศิวิไลซ์ที่คนแต่ละรุ่นใฝ่ฝันนั้น อาจไม่เหมือนกันเลย เพราะชนรุ่นหลังจะคิดสร้างสรรค์ของเขาเองไม่รู้จบด้วยปัญญาและความใฝ่ฝันที่งอกงามไม่สิ้นสุด

เยาวมิตรที่รัก

วันนี้โลกนี้เป็นของเธอ และเธอก็จะส่งต่อโลกนี้ให้ลูกหลานของเธอต่อไป

โลกที่เธอใฝ่ฝันในวันนี้สวยงามกว่าโลกที่ฉันเคยฝันถึงมาก่อน แต่เชื่อฉันเถิด ความใฝ่ฝันของลูกหลานเธอย่อมไม่เหมือนความฝันของเธอ เพราะจะยิ่งใหญ่กว่าและกว้างไกลมากกว่า

คนแต่ละรุ่นย่อมมีความฝัน ไม่มีใครฝันแทนใครได้ และไม่มีความฝันใดจบลงอย่างสมบูรณ์ที่คนรุ่นหนึ่งรุ่นใด

ขอจงเดินทางสู่ฝันของเธออย่างมีความสุข มีศรัทธาในความดีงาม มีความเพียรที่แกร่งกล้า มีสติและปัญญารู้เท่าทันต่อเล่ห์เพทุบาย

และระหว่างเดินทางไปสู่ดวงดาวขอเธออย่าละเลยดื่มด่ำความงดงามของแสงดาว

รักและยืนเคียงกันเสมอ

สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี