เพื่อไทย ชู ยกเครื่องสาธารณสุข – ปฏิวัติอุตสาหกรรม – ท่องเที่ยว

อีเวนต์พรุ่งนี้เพื่อไทย ผุด ประกาศ ยกเครื่องระบบสาธารณสุข บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกโรงพยาบาล ปฏิวัติอุตสาหกรรมการแพทย์ ท่องเที่ยว เกษตร ชูไอเดีย ธนาคารท่องเที่ยว หนุน soft power – Workation และ Work from anywhere สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทย

วันที่ 28 ตุลาคม 2564 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ ขอนแก่น พรรคเพื่อไทยจัดงานประชุมใหญ่ประจำปีพรรคเพื่อไทย ภายใต้ธีม “พรุ่งนี้เพื่อไทย เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน” ทั้งนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มงานว่า เป็นการเริ่มต้นให้พรรคได้สื่อสารกับสมาชิกพรรคและประชาชน ให้รู้ว่าพรรคของเรามีพื้นฐาน ประวัติการต่อสู้มาอย่างไร

และประกาศให้ความฝันและวันดีๆ ของคนไทยกลับคืนมา พรรคเพื่อไทยได้เตรียมการอะไรไว้บ้าง พร้อมจัดนิทรรศการ รายละเอียดการต่อสู้ ทิศทางการแก้ไขปัญหาประเทศ และแสดงให้เห็นเนื้อหาการ disrupt เปลี่ยนแปลงภายในพรรคทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าเรากำลังปรับขบวนของพรรค เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่มีอยู่และกำลังเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง และให้รู้ว่าพรรคเพื่อไทยเดินไปทางไหน

“วันนี้ทั้งวัน จะเป็นการนำเสนอ การสรุปประสบการณ์ การวางกำลังคน ในการคิดเรื่องแนวทาง การหาทางออกประเทศในด้านต่างๆ ไว้ เราจัดขบวนคนทำงานของเราเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเกิดขึ้น” นายภูมิธรรม กล่าว

จากนั้น เวลา 09.00 น. นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย พูดในหัวข้อ สร้างฝัน สร้างหวัง ให้วันพรุ่งนี้ และพรุ่งนี้เพื่อ “สาธารณสุข” ไทย ตอนหนึ่งว่า วันนี้ยังมีวิกฤตรออยู่ข้างหน้า แต่ทรัพยากรสำคัญที่สุดที่จะช่วยกันฝ่าวิกฤตคือ ‘คน’ ถ้าคนไทยมีปัญญา มีสุขภาพดี มีรายได้อย่างเท่าเทียม ประเทศจะก้าวข้ามวิกฤตได้

ดังนั้นประชาชนควรได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะและปัญญาตลอดชีวิต ต้องกล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ กล้าทำไม่กลัวล้มเหลวเพราะมีหลักประกันรายได้พื้นฐาน มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่ล้มป่วยไม่ตายเพราะโรคที่ป้องกันและควบคุมได้

“ความฝันตลอด 20 ปีคือการได้ทำโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค ได้เริ่มต้นเดินหน้าสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง แต่เมื่อ 20 ปีผ่านไป เทคโนโลยีการแพทย์และสุขภาพได้เปลี่ยนแปลง เราสามารถนำเทคโนโลยีมาพัฒนาคุณภาพการบริการประชาชนได้ดีขึ้นอีกและจากบทเรียนโควิดทำให้เราเห็นจุดอ่อนของระบบบริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร จึงมีความฝันที่จะพัฒนาระบบสาธารณสุขขึ้นไปอีกระดับ” ผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทยกล่าว

นพ.สุรพงษ์ ชี้ว่า จะต้องเริ่มต้นที่การกระจายอำนาจและการกระจายทรัพยากรทางสาธารณสุข ที่ยังไปไม่ได้ไกลอย่างที่ควรจะเป็น โดยนำ ‘การแพทย์ทางไกลหรือเทเลเมดิซีน’ มาใช้ในการให้คำปรึกษาเพื่อดูแลผู้ป่วยด้วยโรคพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยไม่ต้องเดินทางไกลมาโรงพยาบาลอำเภอหรือโรงพยาบาลจังหวัด

ใช้ระบบข้อมูลอัจฉริยะเพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินทุกคนใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งได้โดยไม่ต้องเรียกหากระดาษ ส่วนในระดับประเทศต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ เพื่อสร้างเครือข่ายระบบบริการสาธารณสุขครบวงจร เริ่มจากโรงพยาบาลตำบลใกล้บ้านต่อเชื่อมกับโรงพยาบาลอำเภอ โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ที่มีศักยภาพเท่าโรงพยาบาลของคณะแพทยศาสตร์ ภายในรัศมีไม่เกิน 100 กิโลเมตร โดยผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเข้ามารักษาในกรุงเทพมหานครอีก

นพ.สุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีปัญหาแตกต่างออกไป เมื่อเกิดการระบาดของโควิดกลับพบว่าผู้ป่วยโควิดเข้าไม่ถึงการบริการตรวจรักษาพยาบาลเบื้องต้น เพราะไม่มีระบบการรักษาพยาบาลแบบปฐมภูมิที่สมบูรณ์ ถ้าเปรียบเทียบกับต่างจังหวัด 50 เขตของกรุงเทพมหานครคือ 50 อำเภอ และทุกเขตต้องมีโรงพยาบาลขนาด 100 เตียงเช่นเดียวกับในต่างจังหวัด

ดังนั้นจึงควรเริ่มต้นกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารโรงพยาบาลในรูปแบบองค์การมหาชน สำหรับการป้องกันและควบคุมโรค โดยเฉพาะโควิด นอกจากการเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังต้องเร่งพัฒนาระบบการตรวจคัดกรองด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคเช่น DNA Nudge และระบบ AI ปัญญาประดิษฐ์ต่อยอดจากฐานข้อมูลดิจิทัล เพื่อใช้เป็นเครื่องมือของนักระบาดวิทยา และ อสม.

“ความฝันทั้งหมดนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ถ้าเราไม่มีรัฐบาลที่มาจากประชาชน รัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังนั้นเราทุกคนต้องช่วยกันผลักดันความฝันของเราที่เคยร่วมฝันกันไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้วอีกครั้ง ถามตัวเองว่า ยังมีความฝันอะไรที่เรายังไม่ได้ทำและมาเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริงเพื่อประชาชน”

ปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหาร – ท่องเที่ยว

ต่อมา ทีมเศรษฐกิจรุ่นใหม่ของพรรค นำโดย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการ และผู้อำนวยการศูนย์นโยบาย พรรคเพื่อไทย นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย และนายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พูดในหัวข้อ เศรษฐกิจมหภาค : SMEs

นายเผ่าภูมิ กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยเหมือนคนป่วยที่ไม่สนใจรักษา เดินช้าโดยไม่สนใจว่าใครแซง จนทำให้ไทยขาดการแข่งขันและเสน่ห์ดึงดูด มีเพียงธุรกิจยุคเก่าที่เติบโต (Old economy) ขณะที่รัฐเอื้อกลุ่มทุนด้วยสิทธิประโยชน์

ดังนั้น พรุ่งนี้ของพรรคเพื่อไทยมุ่งเน้นการเพิ่มทักษะ ปริมาณ และคุณภาพของคนไทย มีหลากหลายโอกาส แต่หนึ่งในนั้นคือ โอกาสที่เกิดขึ้นจาก “โครงสร้างประชากรสูงวัย” เนื่องจากประเทศพัฒนาแล้วกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยพร้อมกัน คนกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูงจำนวนมหาศาล สร้างโอกาสให้ 3 อุตสาหกรรมในไทยได้

ได้แก่ อุตสาหกรรมการแพทย์ การท่องเที่ยว และการเกษตร ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย พรรคเพื่อไทยสนใจแนวคิด “ ธนาคารเพื่อการท่องเที่ยว” สถาบันการเงินช่วยขับเคลื่อนการท่องเที่ยวทั้งระบบ กำหนดทิศทางอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวผ่านทิศทางการให้สินเชื่อได้

รวมทั้งต้องการปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารจากพื้นฐานไปสู่อาหารคุณภาพสูงด้วยนโยบายด้านการเกษตร และยกระดับรายได้เกษตรกรด้วยอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ทั้ง 3 อุตสาหกรรมมีประชากรนับสิบล้านคนที่จะได้ประโยชน์ เป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ของเศรษฐกิจไทยที่พรรคเพื่อไทยมองเห็น

ด้านนายจักรพงษ์ กล่าวว่า เคยมีการวิจัยได้ศึกษากฎหมายไทยที่ต้องยกเลิก แก้ไขและปรับปรุง จำนวน 600 ฉบับ นำไปสู่การปรับกระบวนงานทั้งสิ้น 1,094 กระบวนงาน ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 133,816 ล้านบาท อุปสรรคที่สองคือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ที่มีเงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยสูง

ผู้ประกอบการไม่สามารถเข้าถึงได้ อุปสรรคที่สาม คือการเข้าถึงเทคโนโลยี ซึ่งคนไทยมีสถานะเป็นเพียงผู้ใช้งาน ไม่ได้เป็นเจ้าของ ดังนั้น ประเทศไทยควรกำจัดอุปสรรคและขยายโอกาสด้วยเทคโนโลยีควอนตัม เพื่อนำมาประมวลผลข้อมูลจำนวนมากที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว

“การเข้าถึงแหล่งทุนที่วันนี้เป็นไปด้วยความลำบาก แม้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะมีการออก พ.ร.ก. ซอฟต์โลน แต่เต็มไปด้วยเงื่อนไข ผู้ประกอบการไม่สามารถเข้าถึงซอฟท์โลนนี้ได้ เรื่องนี้ พรรคเพื่อไทยเราทำได้ดีกว่า ต่อให้ใช้วิธีการเดียวกัน แต่คนบริหารต่างกัน ก็ได้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน เราทำให้ประชาชนและภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่าย เพราะเราไว้ใจประชาชน เชื่อมั่นในศักยภาพของประชาชน”นายจักรพงษ์ กล่าว

นายกฤษฎา กล่าวว่า จังหวัดหนองคาย มีมูลค่าการค้าชายแดนกว่า 5 หมื่นล้านบาท เคยถูกขนานนามว่าเป็นประตูสู่อินโดจีน แต่โอกาสเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยมองเห็น พรุ่งนี้ของจังหวัดหนองคายจะเป็น “ประตูมังกร” เนื่องจากรถไฟความเร็วสูงจากจีนถึงกรุงเวียงจันทน์แล้ว

จึงได้เสนอให้เชื่อมรถไฟจากเวียงจันทน์ถึงหนองคายก่อน ขบวนรถไฟจากจีนมาเวียงจันทน์เป็นขบวนสินค้า 14 ขบวน เป็นผู้โดยสาร 4 ขบวน ซึ่ง 14 ขบวนนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญในการลำเลียงสินค้าไทยไปสู่ประเทศจีนซึ่งมีพลเมืองนับพันล้านคนได้ เป็นโอกาสทางการค้า การท่องเที่ยว และเป็นความเจริญใหม่ที่พาดผ่านเมืองอีสาน หากโครงการนี้สำเร็จ จะเป็นโอกาสของคนไทยที่จะได้ประโยชน์มากมาย

ผุดนโยบายทะเล 5 สี ฟื้นท่องเที่ยว

นายจักรพล กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยตกอยู่ในฝันร้าย มีคนตกงานถึง 2 ล้านคน ผู้ประกอบการรายย่อยล้มหาย และอาจหมดลมหายใจไปกว่าครึ่ง แต่พรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่า ลมหายใจของธุรกิจการท่องเที่ยวไทยยังไปต่อได้ และจะไปได้ไกลกว่าเดิม ด้วย“นโยบายทะเล 5 สี” ประกอบไปด้วย

1.นโยบายทะเลสีแดง (Red ocean) แข่งขันกันด้วยราคา ไม่เน้นเรื่องปริมาณ ส่งเสริมศักยภาพแรงงานและนวัตกรรมการท่องเที่ยวไทยผ่านเทคโนโลยี เพื่อให้เราแข่งขันได้ ในทุกสนามราคา 2.นโยบายทะเลสีคราม (Blue ocean ) ยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้การท่องเที่ยว สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Workation และ Work from anywhere สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทย

3.นโยบายทะเลสีเขียว (Green ocean) พัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียวผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืน สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน 4.นโยบายทะเลสีขาว (White ocean) สนับสนุนการดำเนินธุรกิจโดยเห็นแก่ส่วนรวมมีความโปร่งใส ผ่าน Open data 5.นโยบายทะเลสีรุ้ง (Rainbow ocean) สนับสนุน Soft power ไทยผ่านมาตรการภาษี สนับสนุนเงินทุนให้กับคนในวงการสื่อ ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ

“ทุกชีวิตทุกครอบครัวที่ผูกพันและเคยพึ่งพาเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อรักษาอุตสาหกรรมจากวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ทรัพยากร จากศักยภาพและรอยยิ้มของคนไทย แม้เปลวไฟแห่งความหวังของการท่องเที่ยวไทยที่ใกล้จะดับลงเต็มที แต่พรรคเพื่อไทยของเราคือความหวัง” นายจักรพล กล่าว