“กสม.” ร่อนแถลงการณ์จี้รัฐปล่อยแกนนำค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ยันใช้สิทธิตามรธน.

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นางเตือนใจ ดีเทศน์ พร้อมด้วยนางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการกสม. ร่วมกันแถลงแสดงความเป็นห่วงต่อกรณีการสลายการชุมนุมและจับกุมกลุ่มแกนนำเครือข่ายประชาชนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ระหว่างจัดกิจกรรมเดินเท้ารณรงค์คัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเทพา เพื่อเข้ายื่นหนังสือคัดค้าน โครงการฯ ต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อเย็นวันที่ 27 พฤศจิกายน

นางเตือนใจ กล่าวว่า กสม.เห็นว่าโครงการโรงไฟฟ้าเทพา เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก มีข้อท้วงติงว่าอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างรุนแรงและกว้างขวาง ไม่เฉพาะในพื้นที่จังหวัดปัตตานี แต่จะขยายไปยังพื้นที่ใกล้เคียงด้วย กสม. ได้ดำเนินการตรวจสอบและอยู่ระหว่างการจัดทำรายงาน เบื้องต้นพบมีปัญหาการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร การจัดกระบวนการการ มีส่วนร่วมและสร้างความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบกระทบโดยตรง อันเป็นเหตุของการเดินเท้าเพื่อเข้ายื่นหนังสือคัดค้านโครงการฯ ต่อนายกรัฐมนตรี

กสม.เห็นว่า การดำเนินกิจกรรมดังกล่าวยังอยู่ในขอบเขตของการใช้สิทธิในการแสดงความเห็นและเสรีภาพ ในการชุมนุมของประชาชนอย่างสงบตามรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามกสม. จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทบทวนการแจ้งข้อกล่าวหา แก่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และดำเนินการทางกฎหมายอย่างรอบคอบบนพื้นฐานของสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และนายกฯควรเปิดโอกาสให้เครือข่ายฯได้เข้าพบ เพื่อนำเสนอข้อห่วงใยและข้อเสนอในการพัฒนาโครงการที่ยั่งยืนต่อรัฐบาลโดยสงบ และปราศจากการขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ นอกจากนี้ กสม.ขอให้รัฐบาลและหน่วยงานเจ้าของโครงการยึดมั่นในแนวปฏิบัติของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ภายใต้หลักการ เคารพ คุ้มครอง และเยียวยา รวมทั้งคำประกาศวาระแห่งชาติ : สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน เป็นแนวทางในการดำเนินโครงการด้วย โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

นางเตือนใจกล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่พบว่าจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่กินพื้ยที่สามพันไร่ ต้องมีการย้ายประชาชนกว่า 240 ครอบครัว รวมถึงมัสยิด วัด และกุโบร์ ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2558 กสม.ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบจัดทำรายงานเสนอแนะต่อรัฐบาล ซึ่งในพื้นที่มีทั้งกลุ่มที่คัดค้านและสนับสนุนให้มีการก่อสร้าง โดยกลุ่มคัดค้านห่วงเรื่องวิถีชีวิต เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่คนในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน จึงเกรงว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะกระทบกับความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล รัฐบาลจึงควรรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึง รายงานของต่างประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการหาแหล่งพลังงาน ที่มีการยุติใช้พลังงานถ่านหินไปแล้ว

ด้านนางอังคณากล่าวว่า ขณะนี้จะมีพระราชบัญญัติชุมนุมในที่สาธารณะ แต่รัฐธรรมนูญก็คุ้มครองในเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ดำเนินการโดยสงบและไม่รุนแรง การจัดกิจกรรมเมื่อวานมีทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและคัดค้าน แต่ภาพที่ออกมากลายเป็นว่ากลุ่มที่สนับสนุนได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่กลุ่มที่คัดค้านถูกขัดขวาง จะถือว่าเข้าข่ายเลือกปฏิบัติหรือไม่ อีกทั้งผู้ร่วมกิจกรรมมีทั้งเด็กและสตรี เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าระงับการเคลื่อนไหวกลับไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงเข้าปฏิบัติหน้าที่ สะท้อนว่ารัฐไม่มีการคำนึงถึงความอ่อนไหวในเรื่องเพศสภาพ นอกจากนี้ไทยก็ยอมรับข้อเสนอในการที่จะคุ้มครองสิทธิของนักต่อสู้ ดังนั้นจึงหวังว่ารัฐบาลจะปล่อยตัวแกนนำที่ถูกควบคุมไว้โดยเร็วและไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา

 

ที่มา : มติชนออนไลน์