จ๊อบส์ดีบี (JobsDB) เผยผลสำรวจตลาดแรงงานไทยประจำปี 2567 ตลาดงานสดใส บริษัทกว่าครึ่งจ้างพนักงานเพิ่ม จ่ายค่าตอบแทนเพิ่มมัดใจคนทำงาน
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 JobsDB by SEEK เผยผลรายงานการจ้างงาน ค่าตอบแทน และสวัสดิการประจำปี 2567 ชี้แนวโน้มตลาดแรงงานยังคงเทรนด์ Work-life Balance มีการจ้างงานพนักงานตามสัญญาจ้าง หรือพนักงานชั่วคราวแบบเต็มเวลาเพิ่มขึ้น ขณะที่ตำแหน่งมาแรงได้แก่ ธุรการ ทรัพยากรบุคคล บัญชี ด้านบริษัทให้ความสำคัญกับการรักษาพนักงาน จ่ายค่าตอบแทน และสวัสดิการสอดคล้องอัตราเงินเฟ้อของประเทศ
- เช็กที่นี่ เบี้ยผู้สูงอายุ พฤษภาคม 2567 เงินเข้าวันไหน
- เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท เดือนพฤษภาคม 2567 เงินเข้าวันไหน เช็กที่นี่
- เปิดอันดับ “ประเทศที่อากาศมีมลพิษที่สุดในโลก” ไทยไม่ติดท็อป 10 !
นางดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ JobsDB by SEEK เผยว่า รายงานการจ้างงาน ค่าตอบแทน และสวัสดิการประจำปี 2567 เป็นการรวบรวมข้อมูลจาก 685 บริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรมและตำแหน่งงานในประเทศไทย
JobsDB by SEEK สำรวจและพบว่าแนวโน้มการจ้างงานในปี 2567 ยังคงอยู่ในเทรนด์ชีวิตแบบวิถีใหม่ หรือนิวนอร์มอล ที่เน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน รวมถึงการทำงานระยะไกล โดยร้อยละ 54 ของผู้ประกอบการมั่นใจว่าในครึ่งปีแรกตลาดงานจะมีความคึกคัก อันเนื่องมาจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ และการหางานเชิงรุกของผู้สมัครงาน
รูปแบบการจ้างงานมาแรง
ในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทร้อยละ 99 มีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 คน โดยร้อยละ 97 เป็นพนักงานประจำแบบเต็มเวลา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างบุคลากรที่มีความมั่นคงและทำงานในระยะยาว
ลำดับถัดมาร้อยละ 36 จะเป็นพนักงานตามสัญญาจ้าง หรือพนักงานชั่วคราวแบบเต็มเวลา เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดตารางเวลา ต้นทุนด้านสวัสดิการ ปริมาณงาน ทักษะ ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้คนที่ต้องการความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว (Work-life Balance)
“จุดที่น่าสนใจคือพนักงานตามสัญญาจ้าง หรือพนักงานชั่วคราวแบบเต็มเวลา ได้รับการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากธุรกิจทุกขนาด คิดเป็นร้อยละ 17 ในธุรกิจขนาดเล็ก ร้อยละ 22 ในธุรกิจขนาดกลาง และร้อยละ 20 ในธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่ามาจากเหตุผลข้างต้น”
ตำแหน่งที่เป็นที่ต้องการสูง
ภาพรวมการจ้างงานในปี 2566 ผลสำรวจแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบางตำแหน่งงานที่มีความต้องการจ้างงานสูงในธุรกิจยุคปัจจุบัน ดังนี้
- อันดับหนึ่ง ตำแหน่งธุรการ ทรัพยากรบุคคล และตำแหน่งบัญชี ร้อยละ 42
- อันดับสอง ตำแหน่งการขาย และพัฒนาธุรกิจ ร้อยละ 42
- อันดับสาม ตำแหน่งการตลาด และการสร้างแบรนด์ ร้อยละ 24
- อันดับสี่ ตำแหน่งวิศวกร ร้อยละ 20
อัตราการลดจำนวนคน
ส่วนการลดจำนวนพนักงานในภาพรวมคิดเป็นร้อยละ 19 โดยร้อยละ 13 เป็นพนักงานประจำแบบเต็มเวลา ในตำแหน่งการขาย/พัฒนาธุรกิจ ตำแหน่งธุรการ/ทรัพยากรบุคคล ตำแหน่งการบริการลูกค้า ตำแหน่งบัญชีและตำแหน่งการตลาด/การสร้างแบรนด์ ส่วนพนักงานตามสัญญาจ้าง หรือพนักงานชั่วคราวแบบเต็มเวลา คิดเป็นร้อยละ 7 โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงมีอัตราการลดสูงสุด คาดว่ามาจากการปรับโครงสร้างแผนก การลดขนาดและต้องการผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น
ปี’67 องค์กรร้อยละ 51 จ้างงานเพิ่ม
ในปี 2567 ผลการสำรวจพบว่า บริษัททุกขนาดร้อยละ 51 มีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนพนักงาน โดยพนักงานตามสัญญาจ้างและพนักงานชั่วคราวยังคงมีความสำคัญ และเป็นที่ต้องการควบคู่ไปกับพนักงานประจำ แต่ละองค์กรคำนึงถึงเป้าหมายทางธุรกิจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจ การจัดการจำนวนพนักงานอย่างเหมาะสม รวมถึงการลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
ส่วนบริษัทขนาดเล็กร้อยละ 54 ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนพนักงาน เนื่องจากมีความมั่นใจในโอกาสการเติบโตและตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน บริษัทขนาดกลาง ร้อยละ 59 แม้จะไม่มีแนวโน้มเพิ่มพนักงาน แต่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาพนักงาน เพื่อดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลดขนาดหรือหยุดชะงัก
อิทธิพลส่งผลพนักงานอยู่ต่อ
นางดวงพรอธิบายว่า ค่าจ้างเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพนักงาน ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อส่งผลต่อกลยุทธ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการพนักงาน แต่ผู้ประกอบการร้อยละ 56 ก็ใช้ตัวชี้วัดด้านเงินเดือนในการรักษาพนักงานไว้
ตามมาด้วยการเพิ่มหรือปรับสวัสดิการใหม่ที่ร้อยละ 52 รวมถึงการประเมินแนวทางหรือนโยบายการจ่ายเงิน การเปรียบเทียบสวัสดิการ การพัฒนาหรือปรับปรุงโครงสร้างการจ่ายเงินเดือน การใช้อัตราเงินเฟ้อในการคำนวณปรับเงินเดือน
ซี่งจากการสำรวจพบจุดที่น่าสนใจว่า ร้อยละ 24 ของผู้ประกอบการคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อในการคำนวณส่วนเพิ่ม และผู้ประกอบการเกือบทุกรายอ้างว่าอัตราที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นสอดคล้องหรือสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ
พนักงานได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น
จากการฟื้นตัวต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทส่วนใหญ่ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานเฉลี่ยที่ร้อยละ 6.69 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อของประเทศในปี 2565 ทำให้พนักงานได้เงินเดือนครอบคลุมในส่วนที่ต้องเสียไปและยังได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
ส่วนการประเมินโบนัสตามผลการปฏิบัติงานในปี 2566 มีค่าเฉลี่ยการจ่ายโบนัสอยู่ที่ 1.5 เดือน โดยร้อยละ 72 ของบริษัทมีการอธิบายวิธีการคำนวณการจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ประกอบการและพนักงานในการการเปิดเผยอย่างโปร่งใส ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจและอนาคตที่ดีกำลังเกิดขึ้นในตลาดแรงงานของไทย