ไม่น่าเชื่อว่าโครงการพลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน เดินทางมาถึงปีที่ 5 แล้ว ทั้งยังมีความเชื่อว่าโครงการดังกล่าวน่าจะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะแนวคิดของโครงการเกิดขึ้นมาจากแรงบันดาลใจจากกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงห่วงใยต่อปัญหาน้ำท่วม และภัยแล้งบริเวณลุ่มน้ำป่าสัก
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด จึงผนึกกำลังกับมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อรณรงค์ให้ความรู้ และความสำคัญต่อการฟื้นฟู และพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักด้วยแนวทางศาสตร์พระราชา และภูมิปัญญาท้องถิ่น
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- บริษัทดัง ประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
- แจกเงินดิจิทัล 10,000 ลุ้นซื้อไอโฟน-เครื่องใช้ไฟฟ้า “จุลพันธ์” นัดถกหาข้อสรุป
ล่าสุด บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมมือกับมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เดินหน้าจัดกิจกรรม “เอามื้อสามัคคี” บริเวณพื้นที่ของ “แสวง ศรีธรรมบุตร” เกษตรกรบ้านนาเรียง อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ซึ่งเขาเป็นผู้พลิกฟื้นผืนดินจากที่ดินลูกรัง มาเป็นพื้นที่เขียวขจี อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืช ผัก ผลไม้ และนาข้าวด้วยการนำศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้จนประสบความสำเร็จในวันนี้ภายใต้การดำเนินโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน ปีที่ 5”
เบื้องต้น “ไพโรจน์ กวียานันท์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด บอกว่า สำหรับในปีที่ 5 เราดำเนินงานภายใต้แนวคิดแตกตัวทั่วไทย เอามื้อสามัคคี โดยมีเป้าหมายจัดกิจกรรมตามแนวคิดโคก หนอง นา โมเดล ใน 4 พื้นที่ โดยมีตัวแทนแต่ละภาค ซึ่งครั้งแรกจัดขึ้นที่แปลงเกษตรสาธิต คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. ตัวแทนภาคกลาง ในการสร้างแหล่งเรียนรู้สำหรับการทำเกษตรในเมือง
“ครั้งที่ 2 จัดขึ้นที่ จ.ราชบุรี ตัวแทนภาคตะวันตก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการขับเคลื่อนโครงการสู่ลุ่มน้ำแม่กลอง ที่แตกตัว และขยายผลอย่างต่อเนื่องจาก 16 ราย มาเป็น 30 ราย ส่วนครั้งที่ 3 คือกิจกรรมที่ จ.อุดรธานี ในวันนี้ ถือเป็นตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยขับเคลื่อนโครงการสู่ลุ่มน้ำชี และที่ผ่านไปไม่นาน คือ ครั้งสุดท้ายของปี 2560 เราไปที่เชียงใหม่ อันเป็นตัวแทนภาคเหนือ เพื่ออยากจะบอกว่าการนำศาสตร์พระราชาไปปรับใช้สามารถช่วยแก้ปัญหาสู่ความยั่งยืนจริง ๆ”
ถึงตรงนี้ “ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร” ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวว่า ในปีที่ 5 เรานำภารกิจของการเอามื้อสามัคคี หรือการลงแขกตามประเพณีดั้งเดิมของคนไทย มาเป็นกลวิธีในการขับเคลื่อน เพื่อประสานความสามัคคี และเชื่อมโยงเครือข่ายต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน
“กิจกรรมเอามื้อสามัคคีที่อุดรธานีเป็นการแตกตัวของโครงการที่ขยายผลจากลุ่มน้ำป่าสักไปยังลุ่มน้ำชี โดยกิจกรรมมี2 ส่วน คือ กิจกรรมเอามื้อสามัคคี ในพื้นที่ของลุงแสวง ศรีธรรมบุตร เกษตรกรแห่งบ้านนาเรียง ด้วยการปลูกต้นดาวเรืองเป็นรูปเลขเก้าไทย (๙) เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้พระราชทานแนวทางศาสตร์พระราชาแก่เกษตรกรไทย”
“ส่วนที่สองเป็นกิจกรรมเอามื้อ โดยร่วมกันทำฝาย และซ่อมคันกั้นน้ำที่เสียหายจากพายุฝนที่คลองประชารัฐในพื้นที่เครือข่ายสภาคริสตจักรนาเรียง โดยมีพนักงานจิตอาสาของเชฟรอน พนักงานจิตอาสาจากเครือข่าย รวมถึงชาวบ้านในชุมชนต่าง ๆ มาช่วยกันซ่อมแซม จนทำให้ทุกคนมองเห็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์ร่วมกันจากการทำงานครั้งนี้”
ขณะที่ “ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล” คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่าทาง สจล.เข้าร่วมโครงการด้วยการให้คำแนะนำ และสอนวิธีการออกแบบพื้นที่ทำการเกษตรของเครือข่าย และผู้สนใจตามแนวทางของศาสตร์พระราชา
“นอกจากนั้น ยังต่อยอดโครงการวิจัยการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย การติดตาม และประเมินผล เพื่อบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีส่วนร่วม ในนามศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาประเทศ โดย สจล.ได้รับการสนับสนุนจากเชฟรอนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เพื่อจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระบบ และมีมาตรฐานทางวิชาการใน 3 พื้นที่ คือ ลำปาง, อุดรธานี และตาก รวม 300 ไร่”
“สำหรับบ้านนาเรียงคือหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายของโครงการวิจัย จึงได้จัดแสดงวิธีการจัดเก็บตัวอย่างดิน น้ำ และการตรวจวัดสภาพอากาศ รวมทั้งเก็บภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อแสดงให้เห็นว่างานวิจัยชิ้นนี้มีการจัดเก็บข้อมูลทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณที่ครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญ ซึ่งจะช่วยยืนยันความสำเร็จของทฤษฎีการจัดการทรัพยากร ตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการแก้ปัญหาครบทุกมิติ”
สำหรับ “แสวง ศรีธรรมบุตร” เกษตรกรผู้พลิกฟื้นผืนดินที่เป็นหินให้กลายเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ จนได้รับฉายา “ลุงแสวงผู้มั่งคั่งความสุข แห่งลำน้ำปาว” กล่าวว่า ผมเคยหมดหวังกับที่ดินของตัวเอง เพราะเป็นดินลูกรัง ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น ครั้งหนึ่งเคยประกาศขายที่ดินในราคาถูก แต่ไม่มีใครซื้อ
“จนวันหนึ่งไปอบรมเรื่องศาสตร์พระราชา ที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง พอกลับมารู้สึกร้อนวิชา นอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมาตั้งแต่ตี 4 เพื่อขุดดินด้วยมือเปล่า เพราะที่ดินเป็นหินไม่สามารถขุดด้วยจอบได้ และพอดีมีคนต้องการดินลูกรังเพื่อไปทำถนน ผมจึงให้เขาขุดดินฟรี ๆ แลกกับขุดบ่อน้ำให้ 9 บ่อ เพราะเมื่อก่อนไม่รู้จะต้องเก็บน้ำอย่างไร”
“หลังจากนั้น ผมเริ่มทำตามศาสตร์พระราชา โดยใช้เวลาแค่ปีกว่า ๆ จากผืนดินที่ปลูกอะไรก็ตาย แต่มาวันนี้สามารถปลูกพืชผักผลไม้ได้อย่างสมบูรณ์ แถมยังมีปลาเต็มบ่อ ทั้งยังปลูกสตรอว์เบอรี่ได้อีกในเดือนเมษายน สำคัญไปกว่านั้น ลูกชาย ลูกสะใภ้ กลับจากกรุงเทพฯ เพื่อมาอยู่กับผม และภรรยา จนทำให้ครอบครัวของเราได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา และในอนาคตผมจะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาการเกษตร เพื่อแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้แก่ผู้สนใจต่อไป”
อันเป็นสิ่งที่ “ลุงแสวง” คาดหวังและเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า ศาสตร์พระราชา สามารถพลิกฟื้นชีวิตของเขาได้จริง ๆ