“ฟาร์มแม่นยำ” ต้นแบบพืชเศรษฐกิจจากเทคโนโลยี

ดีแทค ร่วมกับ มูลนิธิชัยพัฒนา และ เนคเทค ลงนามความร่วมมือนำร่องโครงการ “แปลงฟาร์มสาธิตเห็ดหลินจือ” ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เพื่อร่วมศึกษาวิจัย และพัฒนาพื้นที่การเกษตรที่สูงผ่านโซลูชั่น “ฟาร์มแม่นยำ” ที่ใช้เทคโนโลยี IOT และเซ็นเซอร์ครบวงจร โดยทำงานร่วมกับ Cloud Service Mobile Application ที่ดีแทคพัฒนาขึ้นมา เพื่อเป็นระบบควบคุมการเพาะปลูกแบบในโรงเรือนให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ทุกฤดู มุ่งผนึกกำลังสร้างเป็นองค์ความรู้ด้านการเกษตรให้ชุมชนโดยรอบ และเกษตรกรที่เพาะปลูกพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ

“บุญชัย เบญจรงคกุล” ประธานกรรมการ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวสืบเนื่องจากดีแทคมีความตั้งใจจริง และความมุ่งมั่นที่จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม องค์ความรู้ทรัพยากรต่าง ๆ มาช่วยยกระดับสังคมไทยในมิติต่าง ๆ “โดยเฉพาะการลดความเหลื่อมล้ำ และการยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจของประเทศไทย”

“ภาคการเกษตรจึงเป็นอีกมิติหนึ่งที่ดีแทคให้ความสำคัญมาโดยตลอด ผ่านโครงการเพื่อสังคม dtac Smart Farmer ซึ่งทำงานร่วมกับมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิด เริ่มตั้งแต่การส่งข้อมูลที่จำเป็นให้แก่เกษตรกร เช่น พยากรณ์อากาศ ราคาพืชผล ผ่านทาง SMS จนพัฒนามาถึงการทำแอปพลิเคชั่น Farmer Info ต่อยอดพัฒนามาเรื่อย ๆ จนมาถึงดีแทค ฟาร์มแม่นยำ ให้เป็นฟาร์มต้นแบบโดยใช้เทคโนโลยี IOT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และควบคุมคุณภาพการเพาะปลูก ซึ่งได้มีการทดลองใช้กับ 30 ฟาร์ม ใน 23 จังหวัด”

มูลนิธิชัยพัฒนา ดีแทค และเนคเทค ร่วมกันจัดทำโครงการวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ กรณีศึกษาเห็ดหลินจือ ซึ่งเป็นแปลงฟาร์มวิจัย และสาธิต โดยเริ่มลงพื้นที่ศึกษาและวิจัย สำรวจสถานที่มาตั้งแต่ 1 พ.ค. 2562 จากนั้นจึงนำเทคโนโลยีไอโอที เซ็นเซอร์ และเครื่องมือตรวจวัดค่าที่จำเป็นเข้ามาประยุกต์ และศึกษาวิจัยโดยแบ่งเป็น 3 โรงเรือน คือ โรงเรือนควบคุม, โรงเรือนที่ไม่ควบคุม และโรงเรือนแบบธรรมดา ว่าได้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกันอย่างไร

เนื่องจากมูลนิธิชัยพัฒนาเห็นว่า เห็ดหลินจือเป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับส่งออกที่มีมูลค่าสูง ราคารับซื้อต่อกิโลกรัมอยู่ที่หลายหมื่นบาท ผลผลิตต่อโรงเรือนมากกว่า 100,000 บาท ดังนั้นควรดึงเทคโนโลยีให้มาช่วยในการสร้างผลผลิต

และที่ผ่านมาเห็ดหลินจือมีข้อจำกัดในการเพาะปลูก เนื่องจากเห็ดหลินจือปลูกได้เพียงแค่ 2 ฤดู คือฤดูร้อนกับฤดูฝน แต่ในฤดูหนาวไม่สามารถทำได้ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยที่โรงเรือนจะต่ำลงเหลือเพียง 7-10 องศา ทำให้ดอกเห็ดไม่แตกออก และสปอร์เห็ดไม่ทำงาน

ในขณะที่อุณหภูมิเหมาะสมในการเพาะปลูกอยู่ที่เฉลี่ย 15-28 องศา และเนื่องจากตัวโรงเรือนไม่สามารถเข้า-ออกได้ตลอดเวลา อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการปนเปื้อน จึงได้ติดกล้อง CCTV เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของผลผลิต และดูว่ามีศัตรูพืชเข้ามากัดกินผลผลิตหรือไม่ และแม้การทำงานในพื้นที่นั้น ทั้งเกษตรกรเอง หรือผู้เชี่ยวชาญมีความรู้ความเข้าใจอย่างมากในผลผลิต

โดยมูลนิธิชัยพัฒนาจะเป็นผู้สนับสนุนดูแล และควบคุมกระบวนการผลิตเห็ดหลินจือในโรงเรือน ตลอดระยะเวลาการผลิต 2 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 จนถึงวันที่ 31ตุลาคม พ.ศ. 2564 โดยจะเก็บข้อมูลปริมาณผลผลิตเห็ดหลินจือ และข้อมูลความเข้มข้นของสารสำคัญของเห็ดหลินจือในการปลูกแต่ละพื้นที่การปลูก

ศึกษาต้นทุนและรายได้ในการผลิตเห็ดหลินจือ ด้วยการใช้ระบบการควบคุมโรงเรือนอัตโนมัติ เปรียบเทียบกับกระบวนการปลูกแบบเดิม ประกอบด้วย การศึกษาปริมาณผลผลิตทุกช่วงการปลูกตลอดทั้งปี รายได้จากการปลูก ปริมาณสารสำคัญ ต้นทุนการผลิต ต้นทุนอุปกรณ์ ต้นทุนค่าแรง ต้นทุนสาธารณูปโภค และต้นทุนค่าบำรุงรักษา ร่วมกับนักวิจัยเนคเทค

“ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย” ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เนคเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการความร่วมมือวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะกรณีศึกษาเห็ดหลินจือ เนคเทค สวทช. มีความตั้งใจ และมุ่งมั่นในการนำองค์ความรู้จากงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอด พร้อมเผยแพร่และขยายผลให้เกษตรกรในพื้นที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง 3 ฝ่าย ได้แก่ มูลนิธิชัยพัฒนา, ดีแทค และเนคเทค สวทช.

“ในส่วนของเนคเทค สวทช. ศึกษาวิจัยความเป็นไปได้ในการใช้ระบบเซ็นเซอร์เพื่อการเกษตร และระบบควบคุมอัตโนมัติในโรงเรือนที่ชื่อ HandySense มาวิเคราะห์และควบคุมสภาวะที่เหมาะสมในการปลูกเห็ดหลินจือให้ได้ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว

ส่วนมูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกเห็ดหลินจือ ร่วมทดสอบ และเก็บข้อมูลในพื้นที่ ขณะที่ดีแทคสนับสนุนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้สามารถรับส่งข้อมูลผ่าน IOT Sensor ผ่านแอปพลิเคชั่น เพื่อนำมาวิเคราะห์และสรุปผลร่วมกัน”

“ภายใต้โครงการความร่วมมือดังกล่าว มีการเริ่มติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ และระบบควบคุมอัตโนมัติในโรงเรือนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 จนมีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการเป็นอย่างดี อาทิ ระบบการควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนโดยระบบอัตโนมัติ ”

“ได้เลือกใช้ IR Heater เพื่อควบคุมอุณหภูมิและการกระจายของอุณหภูมิ และการออกแบบตำแหน่งในการติดตั้งระบบควบคุมอัตโนมัติภายในโรงเรือน อุณหภูมิกระจายตัวของความร้อนเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ โดยได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และทีมวิจัยจะนำผลการทดลองที่ได้ไปปรับใช้กับการทดลองในฤดูหนาวนี้ และเปรียบเทียบผลการเจริญเติบโตต่อไป”

“การดำเนินการศึกษาวิจัยในพื้นที่ มีการเก็บข้อมูลโดยระบบ IOT Sensor แสดงผลข้อมูลผ่านแอปพลิเคชั่น พร้อมทั้งอบรมการใช้งานให้กับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิชัยพัฒนา ณ ต.โป่งน้ำร้อน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ทั้งยังมีการประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการร่วมกันทั้ง 3 ฝ่ายในทุกรอบเดือน”

ทั้งนี้ ผลจากการดำเนินโครงการจะนำไปสู่การถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยีในการปลูกเห็ดหลินจือให้กับเกษตรกร และผู้เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มรายได้ และสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศต่อไป