อีกมุมของ “โอ๊ต ปราโมทย์” บริหารบริษัทด้วยความสุข กับชีวิตที่ต้องหัด “ช่างแม่ง” ให้เป็น

Story : ธรรมธวัช ศรีสุข /Photo : กฤษกรณ์ สว่างการ

“ทุกอย่างบนโลกใบนี้มีสองด้านเสมอ อยู่ที่ว่าเรามีความสุขกับด้านไหน”

ชื่อของ “โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน” ด้านหนึ่งเขาคือศิลปิน นักร้อง นักแสดง พิธีกร เป็นคอเมเดี้ยนหุ่นหมีที่สร้างรอยยิ้ม เรียกเสียงหัวเราะ บ่มเพาะความสุขให้ผู้คนมากมาย แต่อีกด้าน ก็มีคนไม่น้อยที่ตราหน้าเขาว่าเป็น “จุดต่ำของวงการ” ถ่อย หยาบคาย และไม่สมควรเป็นแบบอย่างแก่เยาวชน จนเป็นเป้าใหญ่ที่มักจะถูกชกโจมตีเสมอ เวลามีประเด็นดราม่า

แต่ทว่าเขารับมือกระแสดังกล่าวด้วยการยอมรับว่า ทุกอย่างบนโลกมีสองด้านเสมอ อยู่ที่เราจะมีความสุขกับด้านไหน นั่นทำให้เขาเรียนรู้ที่จะ “ช่างแม่ง” กับบางเรื่อง และมีความสุขไปกับชีวิต การทำงาน และการปั้นบริษัทใหม่ “โคตรคูล” ชาแนลที่ครีเอทคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ ที่กำลังค่อยๆ เติบโตในตอนนี้ ด้วยยอด Sucsribe กว่า 6 แสน ภายในระยะเวลา 1 ปี ในโลกที่ทุกคนกระโดดลงมาทำคอนเทนต์ออนไลน์จนเป็นเทรนด์ เราลองคุยถึงวิธีทำงานของ CEO มือใหม่ ที่ทำบริษัทโดยเอา “ความสุข” เป็นที่ตั้ง กับการบาลานซ์ชีวิตที่ยุ่งเหยิง และรับมือกับกฐินดราม่าที่เข้ามาในชีวิต

-กว่าจะ…โคตรคูล-

นักร้องหุ่นหมีเปิดฉากบทสนทนาว่า “โคตรคูล Chanel” เกิดจากการสุกงอมที่ได้ทำรายการ Paloy’s Diary จนถึงบทบาทดีเจรายการ จันทร์ Shock โลก ที่มีกลุ่มแฟนคลับและฐานตลาดในโลกออนไลน์ที่กว้าง จึงชักชวนเพื่อนซี้ “ดีเจอาร์ต มารุต” มาร่วมกันทำรายการสนุกๆ ด้วยคอนเซ็ปต์ พาผู้หญิงไปกินข้าว ช็อปปิ้ง รู้จัก Personality ของแต่ละคนให้มากขึ้น จนคลอดออกมาเป็นรายการ “คนหน้าหมี” ที่ออนแอร์แค่ตอนแรกก็โดนรับน้องอย่างหนักจากสังคม

“พอออก EP. แรก กระแสแรงทั้งบวกและลบ มีประเด็นเราคุกคามทางเพศด้วยวาจา กลายเป็นที่ถกเถียงบนโซเชียล สำหรับเรา ในมุมหนึ่งก็เป็นกฐิน(ดราม่า)ด้วย และมันก็เป็นเครื่องเตือนใจในมุมคนทำคอนเทนต์ แต่มองอีกมุมหนึ่ง มันมีรายการอื่นที่โหดกว่าเรามาก เลยต้องกลับมามองในมุมคนที่วิจารณ์ เป็นเพราะอคติหรือเปล่า? หรือว่ามันไม่ดีจริงๆ สุดท้ายเรากลับมาทบทวนกับทีมงาน มันอาจจะมากไป เราเลยปรับคอนเทนต์ให้มันซอฟต์ลง เพราะท้ายที่สุด เราไม่อยากทำรายการตอนเดียวแล้วหายวับไปเลย นั่นคือคุณยอมแพ้แล้ว แสดงว่าคุณกระจอก คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว เลยมองว่า.. เราต้องทำให้รายการกลับมายืนให้ได้อย่างภาคภูมิ ว่าเราปรับคอนเทนต์ให้มันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้

-โมเดลธุรกิจ “โตช้าๆ เอาความสุขเป็นที่ตั้ง”-

แม้รายการตอนแรกจะเจอกระแสสังคมอย่างหนัก แต่ทีมงานก็ปรับคอนเทนต์จนสามารถเข็น EP. 2 ออกมาได้ และขยายคอนเทนต์ในมือเพิ่มเป็น 6 รายการ แต่ CEO แห่งบริษัท โคตรคูล ก็ขอก้าวอย่างระมัดระวัง เพราะด้วยรายการที่เพิ่มขึ้น แต่กำลังยังไม่พอในเรื่องพนักงาน จึงตั้งโมเดลธุรกิจที่เติบโตไปแบบช้าๆ แต่มั่นคง และเอาความสุขเป็นที่ตั้ง

“จริงๆ อยากเพิ่มอีก 2 รายการ เราคิดโครงสร้างไว้หมดแล้ว แต่ที่ไม่ไหวคือ พนักงานไม่พอ เวลาน้อย เราอยากทำเรื่องอาหาร ดนตรี คอนเทนต์เกี่ยวกับท่องเที่ยว ตอนนี้กำลังเรายังไม่พอ แต่ในอนาคตมีแน่นอน เราทำบริษัท ไม่อยากโตเร็วมาก เพราะแค่นี้ก็หนักแล้ว เรามีพนักงานหลักๆ ที่เป็นแบ็คออฟฟิศ 4 คน ซึ่ง 4 คนนี้เราก็แบกค่าใช้จ่าย ฟิกซ์คอร์สต่อเดือนเป็นแสนแล้ว นั่นหมายความว่าเราต้องทำงานให้ได้เกือบ 2 แสน เพื่อพยุงบริษัท เงินเดือน ทั้งค่าไฟ ค่าใช้จ่ายต่างๆ เรามองโมเดลธุรกิจของเราคือ “เอาความสุขเป็นที่ตั้ง” ทำยังไงก็ได้ให้มีความสุข กินอิ่ม อยู่สบาย ลูกน้องไม่ต้องมากังวลว่าเจ้านายจะมีตังค์จ่ายมั้ย

ที่เราพยายามบ้าพลังทำหลายรายการในหนึ่งเดือน เพื่อให้ยอดวิวมัน Cover ค่าใช้จ่าย สมมติเดือนหนึ่งมีลูกค้าเข้า 2 เจ้า ถือว่าอยู่ได้ เรายังไม่ได้อยากรวยมหาศาล เพราะเราเพิ่งเปิดบริษัทมาปีเดียวเอง สายป่านมันต้องยาว ต้องใช้เวลากับกันมัน ยอด Subscribe เรายังไม่ถึงล้านเลย มาถึง 5-6 แสน ในหนึ่งปีก็ถือว่าเก่งแล้ว ในโลกที่คอนเทนต์ออนไลน์มีอยู่เต็มไปหมด มันเป็นเรื่องยาก ผมพยายามโตช้าๆ ให้แต่ละก้าวมันมั่นคง ค่อยๆ เดินและมองคนข้างหลังเสมอ มองเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง ทำให้ทุกอย่าง Flow ไปได้เรื่อยๆ โดยที่ลูกน้องไม่ต้องห่วงว่าเราจะเดือดร้อนมั้ย”

การบริหารงานแบบพี่น้อง เป็นกันเอง คือ ดาบสองคม ในการทำบริษัท?

ไม่ใช่แค่บริหารแบบพี่น้องครอบครัว แม้แต่เจ้านายลูกน้องก็มีดาบสองคม ทุกอย่างบนโลกใบนี้มีสองด้านเสมอ อยู่ที่ว่าเรามีความสุขกับด้านไหน ผมถูกแม่สอนมาตลอดว่า “อย่าเป็นอะไรที่เราไม่ชอบ” เราไม่ชอบเจ้านายแบบไหน ก็อย่าเป็นแบบนั้น เราชอบเจ้านายแบบไหน เราจะเป็นแบบนั้น เราเคยผ่านการเป็นลูกน้องมาก่อน สิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่สิ่งที่มันตอบได้คือ ลูกน้องมีความสุขมั้ย อยากอยู่กับเราหรือเปล่า หรือทำงานกัน 3 เดือนแล้วลาออก แอบไปบ่นกันเอง ตั้งกรุ๊ปไลน์ที่ไม่มีเราแล้วด่า ทุกคนที่สัมภาษณ์เข้ามา เราจะถามเสมอว่า อยากทำงานกับเราจริงๆ หรอ เราไม่ใช่คนดีเด่อะไร เราเป็นคนแบบนี้ พูดจา สัด หมา **** ฉะนั้นทุกคนที่เข้ามาต้องรับตัวตนเราได้ ส่วนการบริหาร เราให้ใจ ให้ความเป็นพี่น้อง สวัสดิการอาจไม่เท่าบริษัทใหญ่ อีกอย่าง เราจะกินข้าวกับลูกน้องบ่อยมาก วีคหนึ่งสองครั้ง การกินข้าวร่วมกันมันเหมือนครอบครัว ช่วงเวลาที่คนในครอบครัวคุยกันมากที่สุดคือ ช่วงกินข้าวบนโต๊ะอาหาร เพราะเมื่อทุกคนมีความสุข จะแชร์เรื่องราวดีๆ เรื่องชีวิต ความสนุก”

-ชีวิตที่บาลานซ์ไม่ได้-

โอ๊ต ปราโมทย์ ถือเป็นศิลปินที่งานชุกคนหนึ่ง ทั้งพาร์ทของนักร้อง พิธีกร จัดรายการวิทยุ และทำชาแนลยูทูบ แต่เจ้าตัวเล่าว่า การทำงานของตัวเองไร้การบาลานซ์ เพราะเป็นคนแบกทุกอย่างเอาไว้

“การบาลานซ์เราเละเทะ มั่วซั่วมาก สิ่งเดียวที่ถูกฝังในสมองคือ อย่าหยุด ห้ามหยุด หยุดไม่ได้ หยุดแล้วชิบหายหมด คอนเทนต์ทุกอย่างออกจากตัวเรา 6-7 รายการไม่มีสคริปต์เลย เพราะไม่ชอบ ชอบสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นตรงนั้นแล้วสนุก สด เราไม่ใช่ตลกมุขชุดที่ต้องซักซ้อมกันมา เราเล่นกับสถานการณ์ ใช้ไหวพริบกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในความเหนื่อยนั้น โชคดีที่ลูกน้องทุกคนเก่ง ต้องให้เครดิตเพื่อนร่วมงาน คนตัดต่อ ทำกราฟิก ซึ่งมันเป็นคน Type เดียวเรา มันจะรู้ทางว่ามุขนี้ต้องตัดยังไง จังหวะแบบไหน ขยี้ตรงไหน ทุกคนรู้ใจเรา มันสบาย ตอนนี้เราแค่ตีขอบให้ ด้วยความที่บาลานซ์เราแย่ เพื่อนร่วมทีมจึงมีส่วนสำคัญโคตรๆ”

-คอนเทนต์ออนไลน์ครองโลก ความสำเร็จตัดสินที่ Personality-

ในยุคที่ศิลปิน ดารานักแสดง แม้กระทั่งคนทั่วไป หันมาทำชาแนลยูทูบ ปั้นคอนเทนต์ออนไลน์ โอ๊ตไม่ได้มองถึงการเป็นช่องทางหารายได้ของคนทำคอนเทนต์ แต่เป็นฟรีมีเดียที่ทุกคนสามารถลงมาทำได้ แต่ท้ายที่สุด ความสำเร็จจะวัดจาก Personality ของคนคนนั้น ที่เป็นส่วนสำคัญให้คนติดตาม

“ผมมองว่ามันเป็นฟรีมีเดีย เป็นช่องทางฟรี ทุกวันนี้คอนเทนต์บนโลกแม่งซ้ำกันหมด อาหาร บิวตี้ ท่องเที่ยว ดนตรี กีฬา วาไรตี้ ทอล์คโชว์ ยิ่งบล็อกเกอร์นี่อภิมหาซ้ำ มีกันทั่วโลก แต่ในความซ้ำ คนเค้าอยากดูตัวมึง คนอยากดู โอ๊ต ปราโมทย์ อยากดู เสือร้องไห้ อยากดูตัวตนของคนนั้น คนเราเสพความเป็น Personality ของคน มันอยู่ในยุคของการเสพบุคคล ว่าชอบอะไร ชอบใคร เราไม่ได้เรียนจิตวิทยา หรือบริหารมนุษย์ ไม่ได้เรียนออนไลน์มาร์เก็ทติ้ง ผมเรียนดนตรี ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมัน Success หรือเปล่า แต่ผมใช้ความสนุกเป็นที่ตั้ง วิธีอาจจะหยาบคาย ทะลึ่งตึงตังบ้าง แต่มันเป็นวิธีของผม คนอื่นทำอาจจะดูไม่ซอฟต์ ไม่ขี้เล่นเหมือนเรา คือยูทูบมันต้องกดไปดู ไม่ใช่เปิดมาแล้วมีคนยัดเยียดให้ ชอบก็ดู ไม่ชอบก็ดูอย่างอื่น ออนไลน์คือสิ่งที่คุณเลือก คุณสนใจ อัลกอริทึ่มจะบอกเองว่ามัน Suggest พาไปที่ไหน เพราะเป็นรายการประเภทเดียวกัน สิ่งที่คุณทำ สิ่งที่คุณพูด คุณใช้ชีวิต คุณชอบ สิ่งที่ดู มันจะนำพาสิ่งนี้มาหาเอง”

-Why always me โอ๊ต ปราโมทย์-

ด้วยภาพลักษณ์ การพูดจาหยาบคาย เป็นความล่อแหลมที่ทำให้เจ้าตัวต้องเจอกระแสดราม่าอยู่บ่อยครั้ง จนลามไปถึงการโดน Bully ในเรื่องรูปลักษณ์ โอ๊ต เผยวิธีรับมือ กับชีวิตที่ต้องตื่นมาเจอชื่อของตัวเองบนเทรนด์ทวิตเตอร์ ว่า ชีวิตต้องหัด “ช่างแม่ง” ให้เป็น แล้วจะมีความสุข

“ตอนแรกไม่คิดเลยนะ แต่เมื่อปลายปีที่แล้วมีโพลล์บุคคลที่โดน Cyber Bully มากที่สุด 10 อันดับ เราติดหนึ่งในนั้น เลยมานั่งทบทวนตัวเอง รอดมาได้ก็เก่งเหมือนกันนะไอ้โอ๊ต คือเราโดนหนัก หนักจนเราอยากเลิกทำเหมือนกันนะ มึงด่ากูทำไมวะ วันที่กูเหนื่อยแทบตาย ทำรายการให้มึงดู กูยังไม่บ่นเลย แต่วันที่เราทำผิดพลาด เราล้ม เราคิดว่าคนที่แม่งไม่เคยผิดพลาด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย แต่กูทำแล้วผิดพลาดไง ฉะนั้น วันที่กูผิด มันคือก็ผิด จะให้ทำยังไง ให้ไปแก้ตัวไม่มีคนฟัง ก็โดนด่าอยู่ดี หรือต่อให้ผิดแล้ว เราก็อาจจะทำผิดซ้ำ เพราะเราคือมนุษย์ มันไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถึงเวลาแล้วมันจะผ่านไปเอง มันจะผ่านไปด้วยดี คนอื่นยังโดนมาหนักกว่าเราอีก อย่าง BNK48 เด็กอายุขนาดนั้นยังโดนหนักกว่าเราอีก เรารู้สึกว่าน้องยังผ่านมาได้ เราอายุขนาดนี้ ต้องผ่านได้ ต้องพยายามช่างแม่ง ใจเราจะสบายขึ้นเยอะ”

อนาคตจะซอฟต์ลง ลดความหยาบคาย?

คิดอยู่แล้ว ผมมองอย่างน้าเน็ก พี่ป๋อมแป๋ม ที่เป็นไอดอลของเรา เค้าเคยอยู่จุดนี้มาก่อน เราเจอน้าเน็กบ่อย เค้าพูดเสมอว่าวันที่เห็นเรา เหมือนมองเห็นตัวเองเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แล้วพอวันหนึ่งเราโตขึ้น ก็จะระมัดระวังมากขึ้น ตามอายุ ตามความอาวุโส ด้วยวัยวุฒิ อายุ 40 มานั่งพูดคำหยาบไม่ได้หรอก เมื่อเวลามันผ่านไป เราจะปรับตัวโดยธรรมชาติ

ภาพของโอ๊ต ปราโมทย์ คือผู้ชายอารมณ์ดี สนุกสนาน ทะลึ่งตึงตัง ร้องเพลงเพราะ แต่พอถามว่า อะไรที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ และเศร้ามากที่สุดในชีวิต ก็ได้คำตอบแสนคลาสสิค และเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้คนอื่น นั่นก็คือ “ความรัก”

“ความรัก คือแรงขับเคลื่อนในชีวิตเราเลย ช่วงเวลาที่เป๋ ส่วนใหญ่จะมาจากความรักเสมอ ไปรักเค้าแล้วเค้าไม่รักเรา ไปรักเค้าแล้วโดนเท หรือคบกันมานานแล้วก็ต้องเลิกกัน ด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่โดนคนทั้งประเทศด่า เหมือนเรา แฟนเรา ไปเป็นคนในครอบครัวเค้า พยายามมองว่าเราเป็นคนในสังคม เลยถูกโฟกัสชีวิต เป็นจุดสนใจ ถึงเราจะทำตัวไม่ดี แต่สุดท้ายมันคือเรื่องของคนสองคน พอเลิกกับแฟน ตื่นเช้ามาเราติดเทรนด์อันดับหนึ่งทวิตเตอร์ คนเด่าเราแบบ 3-4 แสนทวีต ว่าเราเป็นคนเลว โดยที่คนไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์จริงๆ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากอะไร เราเลยนั่งคุยกับเพื่อน … บางทีก็อยากกลับไปจุดที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก อยากทำอะไรก็ได้ ทุกวันนี้จะพูด จะโพสต์อะไร ต้องระวังตลอดเวลา พลาดนิดเดียวคือติดเทรนด์ทวิตเตอร์ ด่ายันโคตรพ่อโคตรแม่ เหมือนลากแม่เรามาตบกลางสี่แยก รู้สึกว่าอยู่ในยุคที่ใครด่าใครก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงผลที่ตามมา มันไม่แฟร์เลย แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแสนนาน จริงๆ มันไม่ใช่แค่ประเทศไทย เห็นบ่นว่าคนไทยอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นกันทั้งโลก ทุกประเทศเป็นหมด สิ่งที่ทำได้คือ ถ้ามันยังไม่เกิดขึ้นกับตัวคุณ ดูชีวิตเราไว้เป็นบทเรียน ดูชีวิตป๊อป ปองกูล ดู BNK48 แล้วพอมันเกิดขึ้นจริงๆ ขึ้นมา ก็ดูว่าเรารับมือยังไงกับมัน โดยที่ไม่ต้องฆ่าตัวตาย เรียนรู้กับคำว่าช่างแม่งบ้าง”

ก่อนจะจบบทสนทนา CEO บริษัทโคตรคูล ได้แนะนำ 2 รายการใหม่ ที่เจ้าตัวต้องการให้เห็นชีวิตอีกมุมที่ไม่ตลกของ โอ๊ต ปราโมทย์ ในไดอารี่ VLOG นะเด็กโง่ และ จีบหนูหน่อย หนูอ่อยไม่เป็น ที่ภาพรวมดูหยาบคาย ขีดความทะลึ่งเลยป้ายไปถึงจังไร แต่จะได้เห็นแง่มุม ปัญหา และเข้าใจมนุษย์คนอื่นที่มากยิ่งขึ้น โดยมีคอนเซ็ปต์คือคนโสด

“VLOG นะเด็กโง่ เราอยากทำ VLOG เพราะเคยทำเทปพิเศษไปจับมือ BNK48 แล้วกระแสมันดี อยากให้เห็นชีวิตว่าวันหนึ่งเราทำอะไรบ้าง ซึ่งไม่มีคอนเทนต์ ไม่มีสคริปต์อะไรเลย มีแค่ว่าวันหนึ่ง โอ๊ต ปราโมทย์ ต้องเจอ ต้องทำอะไร คนจะได้เห็นว่าอีกมุมเราไม่ตลกเลย ถ้าดูรายการที่ถ่ายออกมา มันจะสนุกมาก แต่พอออกมาจากจุดนั้น มันมีแต่เรื่องงาน ขับรถ ประชุม คนจะได้เห็นอีกมุม และความเอ็กซ์คลูซีฟที่ได้ไปหลังเวทีคอนเสิร์ต ไม่ใช่ทุกคนที่ได้เข้าไปทักทาย พูดคุยกับศิลปิน ตรงนี้มันพิเศษมาก

จีบหนูหน่อย หนูอ่อยไม่เป็น รายการใหม่ที่เริ่มแรกจากเราโสด 11 ปีไม่เคยโสด อยู่ดีๆ โสด ตื่นมา ทำตัวไม่ถูก คนโสดเค้าทำไรกันวะ ชีวิตมันเป็นยังไง เลยชวนซานิ เคมีไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว พูดอะไรไปทันกันหมด มันคือ “โอ๊ต ปราโมทย์ ในร่างผู้หญิง” เราเชื่อว่าพลังของคนโสดเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เราอยากให้คนโสดมาแสดง Personality แล้วคอนเซ็ปต์เราคือไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย ไม่จำกัดอาชีพ ไม่ต้องหล่อ สวย ขอแค่โสดและอยากมาออก แค่นั้น

รายการนี้ทำให้เราได้เจอคนต่างอาชีพ ต่างความคิด แต่ละคนมีมุมมองอีกเยอะ รายการนี้เติมไฟมาก อย่างเทป ปาย สิตางศุ์ นี่คือระดับนางเอกหนัง อยู่ในวงการ ไม่มีแฟน ไม่มีคนจีบได้ยังไง ซึ่งแต่ละคนก็มีปัญหาของตัวเอง ถ้าตัดเรื่องความตลก ความทะลึ่งออกไป สิ่งที่ดีที่สุดคือการได้เห็นว่า ทุกคนบนโลกมีปัญหา คอนเทนต์นี้เราอยากให้ทุกคนมีกำลังใจ คุณไม่ใช่คนโสดคนเดียวบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ผิดหวังแล้วต้องฆ่าตัวตาย จะได้เห็นว่า คนสวย คนหล่อ คนรวย มันยังโสด ยังโดนทิ้งได้ อยากให้ทุกคนได้กำลังใจ เข้าใจคนอื่นมากขึ้น”