สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ยูนิลีเวอร์ บริษัทข้ามชาติสัญชาติอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ หนึ่งในบริษัทที่มีสถานะเป็นผู้ซื้อโฆษณารายใหญ่ที่สุดของโลก ระบุเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ว่าจะปฏิเสธการลงโฆษณาในแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ไม่ปกป้องเด็ก หรือมีส่วนทำให้เกิด “การแบ่งแยก” ในสังคม
ยูนิลีเวอร์ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองร็อตเตอร์ดัมในเนเธอร์แลนด์ ประณามสิ่งที่พวกเขาระบุว่ามีพิษภัยบนออนไลน์ และได้พิจารณาในเรื่องที่มีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข่าวปลอมและการโพสต์ข้อความสุดโต่งบนเครือข่ายออนไลน์ อาทิ เฟซบุ๊กและกูเกิล
“ยูนิลีเวอร์จะไม่ลงทุนในแพลตฟอร์มหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่ปกป้องเด็ก หรือสร้างความแตกแยกในสังคม และสนับสนุนส่งเสริมความโกรธและความเกลียดชัง” นายคีธ วีด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด (ซีเอ็มโอ) ของยูนิลีเวอร์กล่าว
นายวีดยังระบุด้วยว่า “ข่าวปลอม การแบ่งแยกกีดกันทางเพศ การก่อการร้ายที่แพร่กระจายสารของความเกลียดชัง เนื้อหาที่เป็นพิษภัยซึ่งพุ่งเป้าไปยังเด็กโดยตรง ห่างไกลกับสิ่งที่จะเราเข้าร่วมเป็นล้านไมล์”
ยูนิลีเวอร์ “จะลงทุนโดยให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์มที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งสร้างผลกระทบในทางบวกให้กับสังคมเท่านั้น” นายวีดกล่าวในสุนทรพจน์เปิดการประชุมที่เมืองปาล์มดีเซิร์ท ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
นายวีดเปิดเผยว่า ได้พบกับคู่ค้าดิจิทัลของบริษัท ซึ่งรวมถึงเฟซบุ๊ก กูเกิล และทวิตเตอร์ ที่งานแสดงนวัตกรรมและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (ซีอีเอส) ในนครลาสเวกัส สหรัฐ เมื่อต้นเดือนมกราคม โดยเขาได้ย้ำกับทุกๆ บริษัทในจุดนี้
ข่าวระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว ยูนิลีเวอร์ใช้งบด้านการตลาดและโฆษณาไป 7,700 ล้านยูโร และเป็นบริษัทที่ใช้งบด้านนี้มากเป็นอันดับ 2 รองจาก พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล (พีแอนด์จี) บริษัทผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของสหรัฐ โดยนายแกรม พิตเคธลี ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน (ซีเอฟโอ) ของยูนิลีเวอร์ เปิดเผยว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินงบประมาณดังกล่าวเป็นการใช้จ่ายเพื่อซื้อโฆษณาทางดิจิทัล
ทั้งนี้ บริษัทจ้างพนักงานราว 169,000 คนทั่วโลก และเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์มากกว่า 400 แบรนด์ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์โดฟ ซุปก้อนคนอร์ ชาลิปตัน และไอศกรีมแมกนั่ม
ที่มา มติชนออนไลน์