“สี จิ้นผิง” กล่าวอะไร-งัดไม้ไหน “จูงใจ” ซีอีโอบริษัทอเมริกันให้ลงทุนในจีน

สี จิ้นผิง ผู้นำธุรกิจอเมริกัน
สี จิ้นผิง กับบรรดาผู้นำธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ จากสหรัฐ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2024 ที่มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน (ภาพโดย Xinhua)

ซีอีโอบริษัทต่างชาติ นักยุทธศาสตร์ นักวิชาการจำนวนมากเดินทางเข้าร่วมงาน “China Development Forum 2024” (การประชุมว่าด้วยการพัฒนาแห่งประเทศจีน) ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา เดิมทีพวกเขามีกำหนดเดินทางกลับหลังจบงาน แต่หลายคนที่มาจากสหรัฐอเมริกาต้องเลื่อนกำหนดการ เพราะได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมการประชุมระดับสูง

ตามข่าวในตอนแรกไม่ได้บอกว่าประชุมกับใคร แต่คาดกันว่าเป็นการประชุมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน เพราะคงไม่มีใครเหมาะสมที่จะเบรกการเดินทางของผู้บริหารซึ่งมีเวลาเป็นเงินเป็นทองได้ดีไปกว่า “ท่านผู้นำ”

และก็ใช่ดังคาด… การประชุมที่เกิดขึ้นในอาคารมหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2024 เป็นการประชุมระหว่างประธานาธิบดีสีของจีนกับผู้บริหารธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ จากสหรัฐมากกว่า 20 องค์กร

รายชื่อผู้นำธุรกิจและองค์กรจากสหรัฐที่เข้าพบผู้นำจีนเท่าที่ปรากฏในข่าว ได้แก่ “สตีเฟน ชวาร์ซแมน” (Stephen Schwarzman) ผู้บริหาร “แบล็กสโตน” (Blackstone Inc.) คริสเตียโน อามอน (Cristiano Amon) จากควอลคอมม์ (Qualcomm Inc.) เกรแฮม อัลลิสัน (Graham Allison) จากวิทยาลัยฮาวาร์ด เคนเนดี้ (John F. Kennedy School of Government) อีวาน กรีนเบิร์ก (Evan Greenberg) ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน (NCUSCR) และ เครก อัลเลน (Craig Allen) ประธานสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน

สี จิ้นผิง ผู้นำธุรกิจอเมริกัน
สี จิ้นผิง กับบรรดาผู้นำธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ จากสหรัฐ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2024 ที่มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน (ภาพโดย Xinhua)

ในสถานการณ์ที่จีนกำลังเจอศึกหลายด้าน ทั้งกำแพงการส่งออก การปิดกั้นเครื่องไม้เครื่องมือทางเทคโนโลยีระดับสูง นักลงทุนต่างชาติเบือนหน้าหนี ก็ไม่ยากเกินกว่าจะคาดเดาว่าวัตถุประสงค์ของจีนคืออะไร

“บลูมเบิร์ก” (Bloomberg) รายงานอ้างคำบอกเล่าของแหล่งข่าวว่า สี จิ้นผิง บอกกับเหล่าผู้นำธุรกิจและองค์กรจากสหรัฐว่า เขาไม่เห็นความจำเป็นที่สหรัฐกับจีนจะต้องแยกออกจากกัน และเขาอยากให้ธุรกิจสัญชาติอเมริกันลงทุนในจีน นอกจากนั้นยังกล่าวถึงปัญหาต่าง ๆ ของเศรษฐกิจจีนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับธุรกิจต่างชาติว่า เจ้าหน้าที่ทางการจีนสามารถจัดการปัญหาได้ และเศรษฐกิจจีนยังไม่ขึ้นถึงจุดสูงสุด

สอดคล้องกับที่ “โกลบอล ไทม์ส” (Global Times) สื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรายงานว่า สี จิ้นผิง กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนว่า “ผู้คนมีความแตกต่างกัน แม้แต่สมาชิกในครอบครัวเดียวกันก็แตกต่างกัน การแสวงหาจุดยืนร่วมกันโดยยังคงสงวนความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้ และสร้างฉันทามติให้มากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำเหมือนกัน ทั้งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ครอบครัว และญาติพี่น้อง”

เขากล่าวให้ความมั่นใจแก่ผู้นำธุรกิจสหรัฐว่า “เศรษฐกิจของจีนแข็งแรงดีและมีความยั่งยืน” โดยยกหลักฐานสนับสนุนว่า จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจโตเร็วที่สุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ ในปีที่แล้ว

ท่านผู้นำของจีนยังบอกเหมือนที่เคยบอกมาแล้วหลายในเวทีว่า จีนกำลังวางแผนและดำเนินมาตรการสำคัญต่าง ๆ เพื่อปฏิรูปเชิงลึกอย่างครอบคลุม และส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจระดับชั้นหนึ่งของโลก โดยมุ่งเน้นระบบตลาด อิงกฎหมาย และเป็นสากล และจัดเตรียมพื้นที่แห่งการพัฒนาที่กว้างขึ้นสำหรับธุรกิจต่างชาติ รวมถึงบริษัทจากสหรัฐ

นอกจากนั้น เขาเรียกร้องให้สหรัฐทำงานร่วมกับจีนในทิศทางเดียวกัน สร้างการรับรู้ทางยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง และจัดการกับประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาโมเมนตัมของความสัมพันธ์ทวิภาคีให้มีเสถียรภาพ

สำหรับฝั่งธุรกิจอเมริกัน ก็ต้องยอมรับว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐที่แย่ลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างภาคธุรกิจ แม้ว่าจะแย่ลงด้วย ก็เป็นผลมาจากความจำเป็นที่ถูกบีบให้ต้องกระจายความเสี่ยงออกจากจีน บวกกับความหวั่นใจกับ “ความไม่แน่นอน” ภายในจีน

หากไม่มีปัจจัยเหล่านี้ก็คงไม่มีใครอยากมีปัญหาการทำธุรกิจในตลาดที่ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกอย่างจีน ดังนั้น ธุรกิจอเมริกันจึงพร้อมที่จะให้ความร่วมมือเพื่อที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับจีนดีขึ้นอยู่แล้ว เห็นได้จากสัดส่วนผู้นำธุรกิจที่เข้าร่วมประชุม “China Development Forum 2024” ก็เป็นผู้บริหารธุรกิจจากสรัฐมากกว่า 30%

หลวี่ เซียง (Lü Xiang) นักวิจัยจากสถาบันบัณฑิตสังคมศาสตร์จีน (CASC) วิเคราะห์ว่า ผลประโยชน์ของชุมชนธุรกิจอเมริกันเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับผลประโยชน์ของชุมชนธุรกิจจีน ดังนั้นภายในชุมชนธุรกิจอเมริกันจึงมีแรงผลักดันโดยธรรมชาติต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่ง “เป็นเรื่องยากมากสำหรับรัฐบาลสหรัฐที่จะขัดขวางโมเมนตัมดังกล่าว”