หลังจากที่เมื่อคืนนี้ วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศว่า รัฐบาลวอชิงตันจะเดินหน้าแผนสั่งเก็บภาษีเหล็กกล้า 25% และอะลูมิเนียม 10% ตามความประสงค์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่ประเทศเม็กซิโก แคนาดา และสหภาพยุโรป (EU)
ทั้งนี้ แผนการดังกล่าวจะมีผลนับตั้งแต่วันนี้ (1 มิ.ย.) เป็นต้นไป
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- พระราชประวัติ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ วันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน
- กองทุนประกัน อนุมัติจ่ายเงิน 7.29 พันล้าน มี.ค.-เม.ย. รับรองมูลหนี้เพิ่ม 560 ล้าน
โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลเม็กซิโก กำหนดมาตรการรีดภาษีตอบโต้สหรัฐด้วยการเก็บภาษีเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ฟาร์มและอุตสาหกรรมของอเมริกาที่ส่งออกมายังเม็กซิโก เช่น ขาหมู, แอปเปิ้ล, องุ่น และเนย เช่นเดียวกับเหล็ก
ส่วนทางการแคนาดา ระบุว่าจะกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้าส่งออกของสหรัฐเช่นเดียวกันเป็นการตอบโต้ โดยกำหนดมูลค่ารวมกว่า 12,800 ล้านดอลลาร์ และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. พร้อมเปิดโอกาสให้สองรัฐบาลเข้าเจรจา หากสหรัฐประสงค์จะพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน
นอกจากนี้ รัฐบาลแคนาดาประกาศจะคัดค้านมาตรการรีดภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของประธานาธิบดีทรัมป์ ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) และองค์การการค้าโลก (WTO)
ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าประเทศที่จะประกาศมาตรการตอบโต้สหรัฐต่อไป คือ “เยอรมนี” ซึ่งอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะรถหรู โดยนิตยสารแห่งหนึ่งของเยอรมัน ระบุว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ ไม่ต้องการให้รถหรูแบรนด์ท็อปๆ ของเยอรมนี มาเฉิดฉายในตลาดนิวยอร์ก เพราะกลัวว่าจะกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของอเมริกา