ทริปเยือนสหราชอาณาจักร (ยูเค) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างวันที่ 3-5 มิ.ย. 2019 ผ่านพ้นด้วยดี ท่ามกลางการจับตามองของผู้ที่ติดตามการเมืองอังกฤษ ซึ่งอยู่ในกระบวนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือ “เบร็กซิต” มองว่าการเยือนของทรัมป์จะส่งสัญญาณต่อเบร็กซิตในทิศทางใดหรือไม่
ประธานาธิบดีทรัมป์กับนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ของอังกฤษ แถลงร่วมกันในวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา “บีบีซี” ระบุว่า สหรัฐต้องการจะทำข้อตกลงกับอังกฤษ เพื่อลดข้อจำกัดด้านการค้าต่อสองฝ่าย ทว่าอังกฤษยังไม่สามารถเจรจาการค้าอย่างอิสระได้จนกว่าการเบร็กซิตจะสำเร็จ ซึ่งกระบวนการยังเป็นไปอย่างยากลำบาก ขณะที่ทั่วโลกจับตาการลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “เมย์”
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 2 พ.ค. ย้อนหลัง 10 ปี
- หวยงวด 2 พ.ค. เช็กสถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งฯ ย้อนหลัง 10 ปี
- บริษัทดังประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
ในแง่เศรษฐกิจ “อียู” ถือเป็นตลาดหลักในการส่งออกสินค้าและบริการของอังกฤษสูงถึง 49.4% ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐอยู่ที่ 14.7%ตามข้อมูลของสหรัฐระบุว่า การค้าอังกฤษ-สหรัฐในปี 2018 มีมูลค่าถึง 262,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกสินค้าบริการของสหรัฐมาอังกฤษ 141,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนมูลค่าการลงทุนของสหรัฐในอังกฤษอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ “การเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้ากับอังกฤษจะเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า จากที่เป็นอยู่ขณะนี้” ทรัมป์กล่าว
“ทรัมป์” ระบุว่า หนึ่งในข้อเรียกร้องคือ การขอให้อังกฤษลดหรือยกเลิกกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรให้กับสหรัฐการลดข้อจำกัดดังกล่าวจะทำให้อังกฤษต้องเปิดรับสินค้าที่เป็น “พืชดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) และอาหารสัตว์ที่มียาปฏิชีวนะ” ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของอียู หรือแม้อังกฤษจะสามารถออกจากอียูได้สำเร็จ แต่ในอังกฤษเองก็มีผู้ต่อต้านสินค้าเกษตรต้องห้ามเหล่านั้น รวมถึงหน่วยงานการบริการด้านสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งควบคุมดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้หากอังกฤษบรรลุข้อตกลงนี้จริง จะมีนัยต่อการเปลี่ยนแปลงด้านมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม และยิ่งทำให้อังกฤษตัดขาดจาก “อียู” มากขึ้น ซึ่งการบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐเท่ากับชี้ว่า อังกฤษไม่ต้องการอียูอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม การเจรจากับสหรัฐคงไม่ง่าย และสหรัฐคงไม่ยินยอมตัดทอนข้อเรียกร้องใด ๆ ขณะที่นายมาร์ก บุช ศาสตราจารย์ด้านการทูตธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ มองว่ารัฐบาลอังกฤษคงรู้ดีว่าจะมีส่วนร่วมในนโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์อย่างไร และมั่นใจว่าจะได้รับผลดีอะไรบ้าง