“การค้าโลก” ฟื้นตัว แรงกระตุ้นเศรษฐกิจ “เอเชีย-แปซิฟิก”

ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) รายงานความคืบหน้าว่า ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียโดยรวมยังคงอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการค้าโลก การขยายตัวได้ดีของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมหลัก และแนวโน้มที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้การเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียปรับตัวสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ สำหรับปี 2560 และ 2561

ในรายงานการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจเอเชีย ประจำปี 2560 ฉบับล่าสุด (Asian Development Outlook 2017 Update) คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะเติบโต 5.9% ในปี 2560 และ 5.8% ในปี 2561

ด้านนายยาสูยูกิ ซาวาดะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอดีบี กล่าวว่า “แนวโน้มการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียกำลังอยู่ในขาขึ้น โดยมีปัจจัยหลักจากการค้าโลกที่กลับมาฟื้นตัวและเศรษฐกิจจีนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดังนั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียควรอาศัยจังหวะที่แนวโน้มเศรษฐกิจดีในระยะสั้น ดำเนินการปฏิรูปเพื่อให้ผลผลิตดีขึ้น และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างมาก รวมทั้งรักษาระดับการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคที่ดี เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตในระยะยาว”

การเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียโดยรวมยังคงรักษาระดับได้ดีจากการกระเตื้องขึ้นของการค้า มูลค่าการส่งออกของทั้งภูมิภาคเฉลี่ยอยู่ที่ 11% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนำเข้าก็สูงขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่าจะสูงขึ้นถึง 17%

ทั้งนี้ การกระเตื้องขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมูลค่าการส่งออกหดตัวลงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาสินค้าลดต่ำลงและความต้องการผลผลิตจากภายนอกลดต่ำลง หากไม่นับรวมจีน ประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค 8 ประเทศกำลังอยู่ในภาวะการส่งออกขาขึ้น

สำหรับเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมหลักคาดว่าจะเติบโต 2% ในปี 2560 และ 2561 โดยเพิ่มขึ้น 0.1 จุด จากการประมาณการเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา การบริโภคที่ขยายตัวของสหรัฐอเมริกาส่งผลให้เศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมากระเตื้องขึ้นจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและสถานการณ์ภาคธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ นโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เบาบางลง และความเชื่อมั่นตลาดที่แข็งแกร่งทำให้เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน

นโยบายการคลังแบบขยายตัว และอุปสงค์ภายนอกที่เหนือความคาดหมาย ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 โดยจะเติบโตเพิ่มขึ้น 6.7% ในปีนี้ เป็นการเพิ่มขึ้น 0.2 จุด จากการคาดการณ์ครั้งก่อน ส่วนในปี 2561 เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงอยู่ที่ 6.4% เนื่องจากการปฏิรูปเพื่อลดภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่มีมากเกินความต้องการและลดความเสี่ยงภาคการเงินที่เริ่มคืบคลานเข้ามา

ส่วนเศรษฐกิจอินเดีย ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ถึงแม้การยกเลิกธนบัตรบางประเภทของอินเดียและการดำเนินมาตรการภาษีสินค้าและบริการแบบใหม่จะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเหล่านี้จะเป็นไปในระยะสั้นและจะค่อยๆ ลดน้อยลง ทำให้การริเริ่มข้างต้นเริ่มออกดอกผลในระยะปานกลาง ทั้งนี้ เอดีบีได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจอินเดียลงเหลือ 7% ในปี 2560 ซึ่งลงลง 0.4 จุดจากการคาดการณ์เมื่อเดือนเม.ย. สำหรับปี 2561 การคาดการณ์จะลดต่ำลงจาก 7.6% เป็น 7.4% แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม สำหรับอีกหนึ่งประเทศเศรษฐกิจใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย

สำหรับ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ โดยจะปรับขึ้นจาก 4.8% มาอยู่ที่ 5% ในปี 2560 และจาก 5% เป็น 5.1% ในปีหน้า

โดยปัจจัยหลักของการเติบโตในอนุภูมิภาค ได้แก่ การส่งออกที่เพิ่มขึ้นของสิงคโปร์และมาเลเซีย ส่วนประเทศหลักอื่นๆ ในอนุภูมิภาคอย่าง อินโดนีเซียและไทย ยังคงรักษาระดับการเติบโตไว้เช่นเดิม ทั้งนี้ เอดีบียังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 3.5% ในปี 2560 และ 3.6% ในปี 2561 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่เคยคาดการณ์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

การเติบโตของเอเชียกลางมีแนวโน้มดีขึ้นในปีนี้และปีหน้าท่ามกลางราคาน้ำมันที่คงที่ แนวโน้มเศรษฐกิจรัสเซียที่กระเตื้องขึ้น และการส่งเงินกลับประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่วนแนวโน้มการเติบโตของประเทศแถบแปซิฟิกค่อนข้างทรงตัวในปี 2560 และคาดว่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยในปี 2561 เนื่องจากประเทศเศรษฐกิจใหญ่ เช่น ปาปัวนิวกินี และติมอร์-เลสเต ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตเหมือนเดิม

ความเสี่ยงต่อการเติบโตของภูมิภาคมีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ นโยบายการคลังที่ผ่อนคลายของสหรัฐอเมริกาและราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ทำให้ภูมิภาคอาจได้รับอานิสงส์จากปัจจัยเชิงบวกดังกล่าว ในขณะที่สภาพคล่องของโลกที่ตึงตัวขึ้น เศรษฐกิจชะงักงันจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ หรือภัยพิบัติจากสภาพอากาศ นับเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของภูมิภาค

ถึงแม้ว่าภูมิภาคจะเตรียมรับมือจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลดขนาดการผ่อนคลายมาตรการในเชิงปริมาณทางการเงินของสหรัฐได้ดี แต่ระดับเพดานหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นในเอเชียและแปซิฟิก ก็นับว่าเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้ ณ ปัจจุบัน และเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยระยะยาวในประเทศเศรษฐกิจทั้งหลายในเอเชียเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ดังนั้น ผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องมีนโยบายทางการเงินที่เข้มแข็งและยังต้องติดตามระดับหนี้และราคาสินทรัพย์อีกด้วย

รวมถึงสัดส่วนการลงทุน “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดดยเอดีบี คาดว่า ภูมิภาคเอเชียเฉลี่ยแล้วควรมีการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน 4 สาขา ได้แก่ พลังงาน การขนส่ง ไอซีที และน้ำ อย่างน้อย 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเป็นหนึ่งในจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ทั้งยังจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ให้มากขึ้นด้วย