โลกปรับ ธุรกิจเปลี่ยน! เรียนรู้ทางรอดธุรกิจ รับมือเทคโนโลยีพลิกโลก ‘Disruptive Technology’

Disruptive Technology’ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทและส่งผลต่อวิถีชีวิตผู้คนยุคใหม่ การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเข้ามาทดแทนเทคโนโลยีเดิมที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และรับมือกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะช่วยพัฒนาให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น การ Disruption ของเทคโนโลยี จึงเป็นทั้งโอกาสและวิกฤตของกลุ่มธุรกิจที่ต้องร่วมกันหาแนวทางในการออกแบบกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้อยู่รอดในยุคปัจจุบัน 

AIS The StartUp นำโดย ดร. ศรีหทัย พราหมณี (AIS The StartUp Management) ร่วมกับ AIS SME นำโดย คุณนวชัย เกียรติก่อเกื้อ (Head of Enterprise Marketing & SME Business Management) ของ AIS เผยกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยสร้างโอกาสใหม่แก่ผู้ประกอบธุรกิจของไทย ให้อยู่รอดในยุค Disruptive Technology จนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

พลิกโฉมโลกธุรกิจ ด้วย ‘Disruptive Technology’

Disruption technology ถือเป็นปรากฏการณ์ทางเทคโนโลยีที่สร้างความพลิกผันต่อวงการต่างๆ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องอาศัยการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น โดยตัวอย่าง Disruptive Technology เช่น เทคโนโลยีการสื่อสาร รวมทั้ง Cloud, Big Data, AI หรือเทคโนโลยีอื่นๆ เข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า Digital Technology เริ่มเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกมากขึ้น อาทิ ความก้าวหน้าของ AI, ระบบปฏิบัติการ IOTs ฯลฯ จนเมื่อเกิดปรากฏการณ์  Disruption ส่งผลให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ และเกิดเป็น Platform หรือ Ecosystem เห็นได้จากในอดีต การผลิตสินค้าอะไรออกมาสักชิ้น บริษัทหรือผู้ประกอบการ Startupไม่ต้องให้ความสนใจโลกภายนอกก็ได้ เพียงแค่ทำชิ้นงาน หรือผลิตภัณฑ์ของตนเองให้ดีที่สุด  

แต่เมื่อการเข้ามาของ Disruptive Technology ทำให้ทุกวันนี้การดำเนินธุรกิจแบบเดิมไม่สามารถทำได้อีกต่อไป ต้องมีการร่วมมือกันของ 2 องค์กรเป็นอย่างน้อย หรือที่เรียกว่า การถ้อยทีถ้อยอาศัย เพื่ออาศัยประโยชน์ของกันและกันในการเดินหน้าธุรกิจ ทั้งยังเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย รวมถึงเกิดโอกาสทางธุรกิจและเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบกันในธุรกิจระบบดังกล่าว ถือเป็นแนวคิดรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากแนวคิดเดิมอย่างสิ้นเชิง

ทำให้บรรดาผู้ประกอบการธุรกิจทั้งหลาย รวมถึงธุรกิจสตาร์ทอัพ ต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับ Disruptive Technology เพราะการเข้ามาของยุคดิจิทัลจะทำให้องค์กรธุรกิจต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีและนวัตกรรม เกิดเป็นการผสานไอเดียใหม่ๆ จนกลายเป็นมาตรฐาน หรือแพลตฟอร์มทางธุรกิจใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้องค์กรธุรกิจเดิมที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ต้องถูกลดบทบาทและออกจากตลาดไปด้วยศักยภาพของนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้

ธุรกิจต้องปรับตัว เพื่ออยู่รอดในยุค Disruptive Technology

อิทธิพลของ Disruptive Technology ส่งผลให้หลากหลายอุตสาหกรรมต้องปรับตัวและรับเอาระบบดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกับ ธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการยุคใหม่ที่ต้องการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว จึงต้องพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคหรือความต้องการของตลาด

ในยุคที่มีความพลิกผันทางเทคโนโลยี ผู้บริโภคต่างต้องการสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ส่วนผู้ผลิตเองก็ได้ปรับเปลี่ยนและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด แสดงให้เห็นว่าการเข้ามาของ Disruptive Technology มีประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปต่อยอดการดำเนินธุรกิจ โดยผู้ประกอบการต้องมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจผ่าน Disruptive Technology ดังนี้ 

  1. หมั่นหาช่องทางหรือโอกาสในการหารายได้ใหม่ๆ เช่น การทำ Data Analytics ในการนำข้อมูลต่างๆ มาใช้เชื่อมโยงกันและวิเคราะห์หาข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เพื่อช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างโอกาสในธุรกิจได้มากขึ้น
  2. นำเทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้เครื่องมือดิจิทัล หรือซอฟต์แวร์คลาวด์ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมต้นทุนได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้วยเทคโนโลยี ทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้องค์กรอีกด้วย
  3. นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ควบคู่กับการทำงานของบุคลากร เช่น การโทรวิดีโอทางไกล การใช้งาน Messenger ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานยิ่งขึ้น
  4. นำเทคโนโลยีมาใช้ในการวิจัยและพัฒนาจนเกิดเป็นสินค้าหรือบริการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
  5. นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการทำงาน เช่น การนำหุ่นยนต์ หรือ ICT มาใช้ในพื้นที่ปฏิบัติงาน ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย ช่วยปกป้องพนักงานจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ทั้งยังช่วยบริหารจัดการทรัพยากรคนได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

buy-borrow-build สูตรดำเนินธุรกิจโลกยุคใหม่

เพื่อให้การขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงสู่องค์กรดิจิทัลประสบความสำเร็จ จึงต้องเปลี่ยนแนวคิดและนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ Startup เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพให้องค์กรสามารถแข่งขันในยุคที่มีการแข่งขันสูงได้ หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการรับมือ ยุค Disruptive Technology  คือ การดำเนินธุรกิจแบบ ‘buy-borrow-build’ 

กลยุทธ์ดังกล่าวเริ่มต้นด้วยการเลือกซื้อเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงาน (buy) มองหาตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ขอซื้อเทคโนโลยีที่ดีและทันสมัยมาใช้ แต่สิ่งที่ควรระวัง คือ ต้องเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง และสามารถดึงศักยภาพของเทคโนโลยีนั้นออกมาใช้ได้อย่างสูงสุด

ต่อมาคือ การหยิบยืมเทคโนโลยีจากพันธมิตรทางธุรกิจ (borrow) ซึ่งเป็นความร่วมมือกับคู่ค้าทางเทคโนโลยี เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้นและใช้งบประมาณที่น้อยลงกว่าเดิม ทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ อาศัยความชำนาญและทักษะของพันธมิตร เพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ทางการตลาดอีกด้วย

และท้ายที่สุดคือ การลงทุนสร้างเทคโนโลยีขึ้นมา (build) เนื่องจากหลากหลายองค์กรต่างมีศักยภาพในการสร้างเทคโนโลยีได้ด้วยตนเอง ซึ่งการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสม ย่อมมีส่วนช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ไปจนถึงการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้ดียิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าเทคโนโลยีจะเป็นสูตรสำเร็จในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเสมอไป ในทางกลับกัน อาจกลายเป็นปัจจัยที่สร้างภาระในการดำเนินธุรกิจมากมายได้เช่นกัน หากองค์กรนั้นนำมาใช้อย่างไม่เหมาะสมต่อลักษณะการดำเนินธุรกิจ

จะเห็นได้ว่าการดำเนินธุรกิจท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ สิ่งสำคัญคือจะต้องเรียนรู้ เข้าถึง และใช้เทคโนโลยีให้เป็น ฉะนั้นแล้ว การเข้ามาของ Disruptive Technology จึงเป็นทั้งโอกาสและวิกฤต ขึ้นอยู่กับการปรับตัวและมองหาโอกาส เมื่อใดที่ผู้ประกอบธุรกิจสามารถมองเห็นโอกาสและสามารถปรับการทำธุรกิจแบบเดิมสู่การสร้างธุรกิจในรูปแบบใหม่ ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นสู่โอกาสใหม่ๆ จนเกิดเป็นความสำเร็จทางธุรกิจได้อย่างแน่นอน

นำเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า มาปรับใช้ในธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด

AIS เป็นหนึ่งในองค์กรที่ต้องเรียนรู้อาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจเป็นหลัก จึงต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอุตสาหกรรม ซึ่ง คุณนวชัย ได้ยกกรณีศึกษาจากการนำ Disruptive Technology มาปรับใช้กับธุรกิจของ AIS ว่า ในกลุ่มธุรกิจมือถือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่ง AIS มีการตระหนักถึงการปรับเปลี่ยนและพัฒนาตัวเองให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ด้วยการนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ

“ปัจจุบันเรามีเครือข่ายไร้สาย 5G ที่มีประสิทธิภาพสูงและครอบคลุมทั่วประเทศ จึงได้นำเครือข่ายนี้มาปรับใช้ร่วมกับธุรกิจอื่นๆ ให้ธุรกิจเหล่านั้นเกิดโอกาสและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและตลาดยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยยกระดับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไปอีกขั้น 

“นอกจากนี้ AIS ยังนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมอื่นๆ มาปรับใช้ในองค์กรเช่นกัน อาทิ การนำปัญญาประดิษฐ์ ( Artificial Intelligence) เข้ามาใช้ในการดูแลลูกค้าให้ได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ผ่านการให้บริการ Call Center ที่แต่เดิมจะใช้บุคลากรในส่วนนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้เราสูญเสียทรัพยากรบุคคลไป จนเมื่อนำเทคโนโลยี AI เข้ามาปรับใช้ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ แก่ลูกค้าในเบื้องต้น ทำให้ลูกค้าไม่ต้องถือสายรอนาน และสามารถช่วยแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรไปได้ด้วยดี”

แสดงให้เห็นว่า AIS ถือเป็นอีกหนึ่งองค์กรสำคัญที่มีบทบาทในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ฝ่าฝันอุปสรรคท่ามกลางกระแสยุค Disruptive Technology และเป็นต้นแบบของการเป็นผู้นำด้านธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย ผ่านการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาปรับใช้ในธุรกิจจนเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้ง Core Technology หรือการใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการให้บริการและพัฒนาธุรกิจ รวมถึงการนำเทคโนโลยีอื่นๆ มาประกอบร่างใช้ในองค์กร และท้ายที่สุดเป็นการนำเทคโนโลยีไปช่วยองค์กรอื่นๆ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์กรให้ดียิ่งขึ้น 

และเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจการค้า สู่ความสำเร็จของแบรนด์ในยุคดิจิทัล มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว ‘AIS The StartUp’ สามารถส่งผลงานเข้ามาได้ที่เว็บไซต์ www.ais.co.th/thestartup หรือ www.facebook.com/aisthestartup แล้วมาร่วม Transform องค์กรสู่โลกดิจิทัลไปด้วยกัน!