“ฟินเทค” หรือเทคโนโลยีทางการเงิน แทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนในปัจจุบัน ด้วยความสามารถที่ทำให้การใช้จ่ายและทำธุรกรรมทางการเงินง่ายดายเพียงปลายนิ้วมือ ส่งผลให้ภาคธนาคาร รวมถึงผู้ให้บริการสินเชื่ออื่น ๆ และธุรกิจประกัน ต่างหันมาทุ่มทุนส่งเสริมการพัฒนาฟินเทคเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้บริการในช่วง 3-4 ปีก่อน อุตสาหกรรมธนาคารหวั่นเกรงว่า “สตาร์ตอัพฟินเทค” จะเข้ามาดิสรัปต์เป็นแจ็กล้มยักษ์ แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้วันนี้ “ฟินเทค” เปลี่ยนจากภาพของคู่แข่ง กลายเป็นฝ่ายสนับสนุนที่ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมธนาคาร สู่ยุคโมบายแบงกิ้งหรือธนาคารดิจิทัลรูปแบบต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
“สิงคโปร์” ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรมฟินเทคมีการพัฒนาไปอย่างคึกคัก ทั้งในแง่เม็ดเงินลงทุนที่เข้ามาจำนวนมาก รวมทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลของสิงคโปร์ ที่ผลักดันให้บริษัทสตาร์ตอัพจำนวนมากสามารถตั้งตัวได้สำเร็จ และพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- 30 บาทรักษาทุกที่ 1 พ.ค.นี้ เดินหน้าเฟส 3 ครอบคลุม 45 จังหวัด
- เปิดประวัติ 6 รัฐมนตรีใหม่ เศรษฐา 1/1 พิชัย-พิชิต-เผ่าภูมิ-จิราพร-อรรถกร-สุชาติ
สเตรตส์ไทมส์รายงานผลสำรวจของ “แอคเซนเจอร์” บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลกระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เม็ดเงินลงทุนในสตาร์ตอัพด้านฟินเทคของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นถึง 69% หรือราว 735 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 435 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยที่กลุ่มผู้ลงทุนเน้นการลงทุนในสตาร์ตอัพที่เติบโตและค่อนข้างมีเสถียรภาพทางธุรกิจระดับหนึ่งแล้ว มากกว่าสตาร์ตอัพในระยะเริ่มต้น
โดยพบว่าเม็ดเงินลงทุนในสตาร์ตอัพระยะตั้งไข่ลดลงถึง 56% โดยเม็ดเงินลงทุนอยู่ที่ 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สวนทางกับการลงทุนในบริษัทกำลังเติบโตที่มีเม็ดเงินลงทุนแบบต่อเนื่องอยู่ที่ 442 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 66% ในช่วงเวลาเดียวกัน
“ดิฟยิช วิทลานี” หัวหน้าฝ่ายบริการทางการเงินภูมิภาคอาเซียนของแอคเซนเจอร์ อธิบายว่า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันธุรกิจธนาคารและผู้ให้บริการทางการเงินรายใหญ่หันไปเน้นลงทุนในฟินเทคที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพแล้ว เพราะต้องการเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงินของตนเองโดยเร็วและหลากหลายมากขึ้น และยังแสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมฟินเทคในสิงคโปร์
ทั้งนี้ ฟินเทคสิงคโปร์ที่ได้รับเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในปีนี้ อย่างเช่น “เดสเครา” (Deskera) ผู้ให้บริการคลาวด์-เบสแพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี ช่วยในการบริหารจัดการ
ระบบบัญชีและการเงิน ที่มีเม็ดเงินลงทุนสูงขึ้นถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือน พ.ค. เช่นเดียวกับ “โกแบร์” (GoBear) ผู้ให้บริการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นประกันภัย บัตรเครดิต สินเชื่อ ไปจนถึงดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร โดยปัจจุบันให้บริการใน 7 ประเทศ มีผู้เข้าใช้งานกว่า 40 ล้านราย ได้เงินทุนเพิ่มขึ้นถึง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังมี “ช็อปแบ็ก” (ShopBack) ผู้ให้บริการระบบแคชแบ็กสำหรับผู้ค้าออนไลน์ ก็มียอดลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน เม.ย. 2019
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังมีสตาร์ตอัพที่มีมูลค่าธุรกิจมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเรียกว่า “ยูนิคอร์น” อยู่ 2 ราย คือ “แกร็บ” (Grab) ซูเปอร์แอปที่ให้บริการขนส่งและระบบชำระเงิน และ “แทร็กซ์” (Trax) บริษัทผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ด้านการจับภาพและวิเคราะห์ภาพสินค้าสำหรับค้าปลีก ช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายรับทราบรายละเอียดสินค้าได้ทันทีด้วยการสแกนภาพสินค้า
วิทลานีระบุด้วยว่า แผนของธนาคารกลางประเทศสิงคโปร์ (เอ็มเอเอส) ที่จะออกใบอนุญาตจัดตั้ง “ธนาคารดิจิทัล” ให้กับธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินในปี 2020 ยังจะช่วยเพิ่มโอกาสให้สตาร์ตอัพฟินเทค และภาคการธนาคารแบบดั้งเดิม สามารถทำงานร่วมกันได้มากขึ้น
ผลสำรวจของแอคเซนเจอร์ยังชี้ว่า สตาร์ตอัพฟินเทคด้านการชำระเงิน ด้านสินเชื่อ และประกันภัย (อินชัวร์เทค) เป็นธุรกิจที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นอันดับต้น ๆ โดยที่ฟินเทคด้าน
การชำระเงินมียอดลงทุนมากถึง 251 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน 9 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 113% จากช่วงเดียวกันของปี 2018
ขณะที่ฟินเทคด้านสินเชื่อเพิ่มขึ้น 51% จาก 96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอินชัวร์เทคเริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น โดยยอดการลงทุนพุ่งจาก 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา เป็น 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2019 หรือคิดเป็น 2.7 เท่า
“โซปเนนดู โมฮันที” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายฟินเทคของเอ็มเอเอส ระบุว่า เม็ดเงินการลงทุนในฟินเทคที่ทำสถิติเข้าใกล้ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น เป็นสัญญาณว่านักลงทุนเชื่อมั่นในศักยภาพของระบบนิเวศฟินเทคในสิงคโปร์ ทั้งเป็นแนวโน้มที่ดีของการให้บริการธุรกรรมการเงินในระบบดิจิทัล ซึ่งทิศทางดังกล่าวไม่ใช่แค่ในสิงคโปร์เท่านั้น แต่รวมทั้งในภูมิภาคอาเซียน
“เม็ดเงินลงทุนในฟินเทคของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่าตัวจากปี 2015 สร้างแรงผลักดันให้ธุรกิจสตาร์ตอัพท้องถิ่นของสิงคโปร์เติบโตในระดับโลก ขณะเดียวกัน บริษัทฟินเทคระดับโลกหลายแห่งที่ได้มาตั้งสำนักงานภูมิภาคที่สิงคโปร์ ก็เพิ่งมีการระดมทุนจำนวนมากเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอาเซียน” โมฮันทีระบุ
“สิงคโปร์” ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค กำลังพัฒนาอุตสาหกรรมฟินเทคอย่างก้าวกระโดด โดยในวันที่ 11-15 พ.ย.นี้ ประเทศสิงคโปร์จะมีการจัดงาน “Singapore FinTech Festival 2019” เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาของฟินเทคจากทั่วโลก เป็นการตอกย้ำศูนย์กลางทางเทคโนโลยีการเงินอีกแห่งหนึ่งของภูมิภาคและของโลก