สมรภูมิใหม่ โซเชียลแบงกิ้ง “กสิกรฯ” ส่ง LINE BK ชิงนำตลาด

กสิกรไทย-Line BK

การเปิดตัวบริการทางการเงินของบริษัท กสิกร ไลน์ หรือ “LINE BK” บริษัทร่วมทุนระหว่างธนาคารกสิกรไทยกับไลน์ เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมาได้แก่ บริการบัญชีเงินฝาก, บริการบัญชีเงินออมดอกพิเศษ, บริการเดบิต และบริการวงเงินให้ยืม (credit line) น่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการแบงก์ไม่น้อย

เพราะงานนี้ นับเป็น The first “socialbanking” platform in Thailand เลยทีเดียว

โดย “ธนา โพธิกำจร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “LINE BK” ปักธงว่า ใน 12 เดือนข้างหน้า หรือ 1 ปี บริษัทตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อให้ได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งช่วงแรกจะเป็นการให้บริการเพื่อทดลองตลาดเป็นหลัก ขณะที่ภายใน 5 ปีต่อจากนี้ ตั้งเป้าหมายขึ้นเป็น 1 ใน 5 ของบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจการให้บริการสินเชื่อบุคคล (consumer finance)

นอกจากนี้ ภายในปี 2564 “LINE BK” ยังเตรียมขยายบริการไปสู่ “บริการด้านการลงทุน” และ “ประกันภัย” อีกด้วย

“ธนา” ย้ำว่า จุดเด่นของ “LINE BK” คือ เข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย และไว้ใจได้ สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็ว เหมือนการแชตบน LINE เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ตอนนี้ที่มีความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ยืมที่มากขึ้น

ซึ่ง “บริการวงเงินให้ยืม” หรือ “credit line” ถือเป็นบริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบดิจิทัล ที่ลูกค้าสามารถขอวงเงินสินเชื่อได้ด้วยตัวเอง ทุกที่ ทุกเวลา อนุมัติไว และเบิกเงินเข้าบัญชีได้ทันที โดยบริษัทกำหนดรายได้ขั้นต่ำของลูกค้าในการขอใช้สินเชื่อเพียง 7,000 บาท ขณะที่วงเงินสินเชื่อสูงสุดอยู่ที่ 800,000 บาท

โดยวงเงินให้ยืมพร้อมใช้ อัตราดอกเบี้ย 20-25% ต่อปี จ่ายขั้นตํ่าได้ทุกเดือน ส่วนวงเงินให้ยืมผ่อนชําระอัตราดอกเบี้ย 18-25% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระ 12-60 เดือน

“บริการวงเงินให้ยืมนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะ “ฉีกกรอบ” การกู้ยืมเงินในรูปแบบเดิม โดยเราหวังว่า จะสามารถช่วยตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำและไม่มีสลิปเงินเดือนได้” นายธนากล่าว

สำหรับวิธีการประเมินความเสี่ยงของลูกค้า และรักษาคุณภาพสินทรัพย์ไม่ให้เป็นหนี้เสีย (NPLs) ในภาวะที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงเช่นนี้ “ธนา” บอกว่า การประเมินความเสี่ยงนั้น “LINE BK” จะใช้วิธีการแบบดั้งเดิม ได้แก่ การตรวจสอบข้อมูลคุณลักษณะประชากร (demographic) และการตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร โดยทำควบคู่ไปกับวิธีการตรวจสอบแบบใหม่ที่จะใช้รูปแบบเฉพาะ ผ่านการนำข้อมูลทางการเงินและข้อมูลของลูกค้าบนสังคมออนไลน์ (social media) มาวิเคราะห์ร่วมกัน

อย่างไรก็ดี บริษัทจะเห็นเพียงข้อมูล “พฤติกรรมของลูกค้า” เท่านั้น แต่จะไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหา “การสื่อสาร” ของลูกค้าได้แต่อย่างใด และจะไม่มีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลประเมินความเสี่ยง

“คาดการณ์ว่า NPLs จะอยู่ในระดับสูงกว่าอุตสาหกรรมการเงินเล็กน้อย หรือมากกว่า 5% อย่างไรก็ดี บริษัทพร้อมจะปรับปรุงกระบวนการประเมินความเสี่ยง เพื่อให้สามารถคุมตัวเลข NPLs ให้อยู่ไม่เกิน 10% ในระยะถัดไป”นายธนากล่าว

ขณะที่บริการบัญชีเงินฝาก จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการโอนเงินใน LINE โดยไม่ต้องสลับแอปพลิเคชั่น รวมถึงไม่ต้องจำเลขบัญชี นอกจากนี้ ยังมีแจ้งเตือนยอดเงินเข้าออกใน LINE และสามารถเช็กยอดเงินได้เรียลไทม์ ขณะที่การถอนเงินสด ลูกค้า “LINE BK” สามารถถอนเงินสดได้ที่ตู้ ATM ของธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ และตู้ ATM ของธนาคารอื่นตามเงื่อนไข

ส่วนบริการบัญชีเงินออมดอกพิเศษ ให้ดอกเบี้ยพิเศษสูงสุดถึง 1.5% ต่อปี ซึ่งลูกค้าสามารถกำหนดระยะเวลาการออมได้เอง ทั้งแบบระยะสั้น 6 เดือน หรือระยะยาว 12 เดือน โดยลูกค้าที่มีบัญชี “K PLUS” กับธนาคารกสิกรไทยอยู่แล้ว สามารถนำบัญชีเดิมมาใช้บริการใน “LINE BK” ได้ทันที

ด้านบริการบัตรเดบิต มีให้เลือก 3 ประเภทบัตร เพื่อเอาใจนักช็อปออนไลน์โดยเฉพาะ จะได้รับเครดิตเงินคืน 0.5% ทุกเดือน เมื่อช็อปออนไลน์ 100 บาทขึ้นไป ประกอบด้วย 1.บัตรเดบิตออนไลน์ ไม่ต้องมีการ์ด และไม่มีค่าธรรมเนียม 2.บัตรเดบิต ดีไซน์พิเศษที่มาพร้อมแคแร็กเตอร์บราวน์ โคนี่ แซลลี่น่ารักสดใสจาก LINE และ 3.บัตรเดบิตคู่วงเงิน ที่จะมีวงเงินให้ยืมที่สามารถแจ้งเตือนอัตโนมัติ เมื่อยอดเงินในบัญชีไม่เพียงพอ สามารถดึงเงินจากวงเงินให้ยืมมาใช้จ่ายต่อได้ทันที ไม่มีสะดุด

“จากบริการเหล่านี้ “LINE BK” จะมีรายได้มาจากดอกเบี้ยสินเชื่อเป็นหลัก ขณะที่บริการด้านเงินฝาก และบัตรเดบิต รายได้จะเข้าธนาคารกสิกรไทยทั้งหมด” นายธนากล่าว

ก่อนหน้านี้ “ขัตติยา อินทรวิชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศว่า บริการของ “LINE BK” จะเป็นบริการทางการเงินที่ดีที่สุดอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งกสิกรไทยฝากอนาคตไว้ ทั้งระบบชำระเงิน สินเชื่อบุคคล และเงินฝาก ซึ่งทุกบริการจะฝังตัวไปกับโซเชียลมีเดีย “แบบไร้รอยต่อ” และสะดวกง่ายดาย เปรียบเสมือนธนาคารที่มีความ “เป็นมิตร” มากขึ้น


ถือเป็นการกระโดดลงสู่สนามรบใหม่อย่างเต็มตัวของแบงก์กสิกรไทย ซึ่งเชื่อว่าแบงก์อื่น ๆ ก็คงไม่อยู่เฉยเช่นกัน