คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : สมปอง แจ่มเกาะ
เดือนแรกของศักราชใหม่ ปี 2567 เดือนมกราคมกำลังจะผ่านไป ครับ…วันเวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
กลับมานั่งนับนิ้ว (มือ) ดู วันนี้ รัฐบาลท่านนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ก็เข้ามาบริหารประเทศได้ 5 เดือนเข้าไปแล้ว
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- ทูลเกล้า 11 รายชื่อคณะรัฐมนตรี เศรษฐา 1/1 ออก 4 เข้าใหม่ 6 ตำแหน่ง
หากยังจำกันได้ เมื่อกลาง ๆ เดือนธันวาคม 2566 ท่านนายกฯก็ได้แถลงผลงาน 90 วัน ผ่านทีวีช่อง NBT มีผลงานมากมาย ทั้งการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส เร่งแก้ไขปัญหาให้ประชาชน
เริ่มจากการลดรายจ่าย ที่มีทั้งลดค่าไฟฟ้า ลดราคาน้ำมันดีเซล ลดราคารถไฟฟ้า (สีม่วงและสีแดง), ช่วยชาวนา-ชาวไร่อ้อย, แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ (เป็นวาระแห่งชาติ), พักหนี้เกษตรกร, บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ (นำร่อง 4 จังหวัด แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส)
ขณะที่นโยบายเพิ่มรายได้ก็ไม่น้อยหน้า ไล่เรียงตั้งแต่กระตุ้นการท่องเที่ยว ด้วยมาตรการวีซ่าฟรีนักท่องเที่ยว ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ (ปริญญาตรี) และการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ ขยายเวลาปิดสถานบริการ (นำร่อง 4 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และชลบุรี) ขยายเวลาการเปิดให้บริการท่าอากาศยานเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง การส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง
รวมถึงผลักดันกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท โครงการดิจิทัลวอลเลต (ที่จนถึงวันนี้ไม่รู้ว่าจะลงเอยและเดินหน้าโครงการต่ออย่างไร)
สรุปว่า ผลงานรัฐบาลยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว
แต่สำหรับคนที่อาจจะใจร้อนหน่อย อาจจะบ่นว่ายังไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นเลย โดยเฉพาะเศรษฐกิจปากท้อง ที่วันนี้คนไทยส่วนใหญ่ต่างอยู่ในอาการสาละวันเตี้ยลง
ที่ผ่านมา แม้ว่าหลาย ๆ ฝ่ายอาจจะคาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในภาพรวมปีนี้น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และดีกว่าปีที่ผ่านมา
แต่ล่าสุด เท่าที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับนักธุรกิจระดับซีอีโอธุรกิจขนาดกลางหลายท่านและหลากหลายธุรกิจ และถามถึงมุมมองเรื่องภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ทุกท่านล้วนมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ยังไม่ไว้วางใจในสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นอยู่นี้เท่าไหร่นัก
นอกจากภาวะสงคราม และ Geopolitic ที่อยู่นอกเหนือการคอนโทรลของเรา ๆ ท่าน ๆ ที่เป็นตัวแปรหลักที่จะฉุดสถานการณ์เศรษฐกิจโลกให้ดำดิ่งแล้ว
เมื่อกลับมามองเฉพาะที่หน้าตัก ประเทศไทยของเราเองก็ยังมีหลายเรื่องที่ไม่แน่นอน และบางเรื่องยังมีความเปราะบางอยู่หลายเรื่อง
เรื่องแรก เป็นที่รู้กันมานานคืองบประมาณรายจ่ายที่ล่าช้า ที่ทำให้ไม่มีเม็ดเงิน (ก้อนใหญ่) เข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ตามมาด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้บัตรเครดิต หนี้ไฟแนนซ์ สารพัดหนี้ที่มีมากมาย ที่ส่งผลในแง่ของการบั่นทอนกำลังซื้อและการจับจ่าย
และที่เป็นฮอตอิสชูที่บรรดานักธุรกิจจับตามองและเป็นห่วงมากในเวลานี้ก็คือ ปัญหาหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนจะมีเงินมาจ่ายหรือไม่ ? หากไม่มีเงินคืนจะแก้ปัญหาอย่างไร ?
อะไรจะเกิดขึ้นตามมา
หลายคนยังลุ้นต่อไปอีกว่า เหตุการณ์ในทำนองนี้จะลุกลามเป็นโดมิโนเอฟเฟ็กต์หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป
หรือแม้แต่การบูมโครงการแลนด์บริดจ์ที่มีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาทของรัฐบาลที่ไปเชิญชวนนักลงทุนทั่วโลกมาลงทุน อีกด้านหนึ่งก็ส่งผลให้โปรเจ็กต์ยักษ์อีอีซีดูเหมือนจะแผ่ว ๆ ลงไป
อีอีซีจะแจ้งเกิดได้อย่างที่ตั้งใจหรือไม่ โครงการแลนด์บริดจ์จะเดินหน้าต่ออย่างไรหรือไม่
นี่เป็นคำถามที่นักลงทุนต่างชาติยังรอคำตอบ
และเมื่อถามซีอีโอต่อว่า จากนี้ไปจะขยับขยายการลงทุนอะไรใหม่ ๆ หรือไม่
คำตอบที่ได้คือ หลายคนบอกว่า แม้จะมีโครงการการลงทุนใหม่ ๆ แต่ก็ไม่รีบ ขอรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน
เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนมากพอแล้ว ว่าเศรษฐกิจไทยในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร !