บทบรรณาธิการ: ไม่ไว้วางใจผลประกอบการ

ไม่ไว้วางใจ
บทบรรณาธิการ

สัปดาห์การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านกลับมาเป็นที่ติดตามอย่างเข้มข้นอีกครั้ง แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะรู้ตอนจบอยู่แล้วว่าคงไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่จะมีผลในศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งฝ่ายค้านยกผลเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ 22 พ.ค. และผลการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ลำปาง วันที่ 10 ก.ค. มาเป็นดัชนี

ก่อนฝ่ายค้านเปิดศึกซักฟอกครั้งสุดท้ายในอายุรัฐบาล ประชาชนน่าจะมีคำตอบในใจแล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร จะเลือกพรรคใด จะเลิกเลือกใครในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะเมื่อวัดด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจ

เนื้อหาและตัวบุคคลที่ฝ่ายค้านหยิบยกมาอภิปรายในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจเป็นหลัก เนื่องจากเป็น “ผลประกอบการ” ที่ชัดเจนจากการบริหารงานของรัฐบาล

แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมมีปัจจัยจากภายนอก ทั้งโรคระบาด สงคราม ราคาพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ แต่การใช้อำนาจบริหารของรัฐบาลเป็นตัววัดว่าการรับมือและการแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาเป็นที่ยอมรับของประชาชนมากน้อยเพียงใด

สิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปรายกล่าวหารัฐบาลมีพฤติการณ์ พฤติกรรม บกพร่องล้มเหลว ส่อทุจริต ใช้งบประมาณแผ่นดินไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง มีน้ำหนักความเป็นจริงหรือไม่ ประชาชนน่าจะมีคำตอบในใจแล้ว

สภาพเศรษฐกิจที่คนไทยจำนวนมากเห็นตรงกันขณะนี้คือ ความฝืดเคืองในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและไม่เพียงพอกับรายจ่าย สะท้อนผ่านตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ของจีดีพี และสูงเป็นลำดับที่ 11-12 ของโลก

ครัวเรือนรายได้น้อยที่สุด 20% แรก มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 10,000 บาท แต่ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 12,000 บาท และครัวเรือนจำเป็นต้องมีการกู้ยืมเงินไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็น ยิ่งเจอกับภาวะเงินเฟ้อที่ข้าวของแพง ภาพความทุกข์ร้อนนี้เป็นเรื่องที่มองเห็นได้ไม่ยาก

สำหรับผู้ประกอบการเอกชน ส่วนที่ขึ้นราคาได้ ต่างขึ้นราคาสินค้าไปแล้ว ส่วนที่ถูกกำหนดเป็นสินค้าควบคุม คาดว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือต้นเดือนสิงหาคมจะเป็นจุดที่ยั้งได้ยาก

ขณะที่ภาคพลังงาน นอกจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีฐานะติดลบเกิน 1.1 แสนล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯก็แจ้งว่าแบกรับภาระค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย. 2564 จนถึงปัจจุบันรวมแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท

เมื่อประชาชนจะต้องผจญกับการในชีวิตประจำวันที่ลำบากมากขึ้น มีหนี้เพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลเพิ่มขึ้นหรือไม่ น่าจะเห็นมติของประชาชนแล้ว