จ้างแล้วไม่ไปทำงาน… เรียกค่าเสียหายได้ไหม ?

จ้างแล้วไม่ไปทำงาน
เอชอาร์ คอร์เนอร์
ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์
http://tamrongsakk.blogspot.com

กรณีตามหัวข้อข้างบนนี้ก็คงจะเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่หลายคนยังสงสัยอยู่ว่าถ้าเซ็นสัญญาจ้างแล้วเราไม่สามารถไปทำงานกับบริษัทที่เราเซ็นสัญญาจ้างได้จะมีผลยังไง

ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันชัด ๆ อย่างนี้นะครับ

ฉลองไปสมัครงานกับบริษัท ก และในที่สุดบริษัท ก ก็ตกลงรับฉลองเข้าทำงาน ฉลองก็เซ็นสัญญาจ้างกับบริษัท ก ไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะต้องไปเริ่มงานในวันที่ 1 เดือนหน้า ซึ่งในสัญญาจ้างงานนี้ระบุเงื่อนไขเอาไว้ว่าถ้าฉลองไม่มาเริ่มงานตามสัญญา บริษัทจะปรับค่าเสียหายจากฉลอง 2 เท่าของเงินเดือน (สมมุติว่าบริษัท ก ตกลงให้เงินเดือนฉลองเดือนละ 30,000 บาท ถ้าฉลองไม่มาเริ่มงานตามสัญญาบริษัท ก จะปรับค่าเสียหายจากฉลอง 60,000 บาท)

ต่อมาฉลองเกิดได้งานที่บริษัท ข อีกแห่งหนึ่ง และบริษัท ข ก็จ่ายเงินเดือนให้ดีกว่าบริษัท ก ฉลองก็เลยอยากไปทำงานบริษัท ข มากกว่าบริษัท ก

นี่ถึงได้เป็นปัญหาว่าถ้าฉลองไม่ไปทำงานที่บริษัท ก ตามสัญญาจ้าง บริษัทจะเรียกร้องให้ฉลองจ่ายค่าเสียหายตามสัญญาได้ไหม

แล้วถ้าฉลองไม่ยอมจ่ายล่ะ บริษัทจะทำยังไง ?

ผมมีข้อคิดอย่างนี้ครับ….

1.ถ้าฉลองจะไม่ไปทำงานกับบริษัท ก ก็ควรเข้าไปพบผู้บริหาร หรือ HR ของบริษัท ก และบอกเขาไปว่าเราไม่สะดวกจะไปทำงานกับบริษัท ก จริง ๆ เนื่องจากได้งานใหม่ที่มีโอกาสในการเรียนรู้งานและมีความก้าวหน้า

ซึ่งในอนาคตก็ไม่แน่ว่าฉลองอาจจะนำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ได้กลับมาร่วมงานกับบริษัท ก อีกก็เป็นไปได้ และต้องขอบคุณบริษัท ก ที่ให้โอกาสให้ฉลองได้เข้ามาร่วมงานในครั้งนี้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ไปบอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมาให้เขาได้เข้าใจดีกว่าหายไปเฉย ๆ แล้วไม่มาเริ่มงานตามสัญญา

2.หากฉลองอธิบายเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงแล้ว บริษัท ก ก็ยังคงยืนยันที่จะให้ฉลองจ่ายค่าเสียหายให้สองเท่า (คือ 60,000 บาท) ตามสัญญาให้ได้ บริษัท ก ก็คงจะต้องไปฟ้องศาลแรงงานเอาเอง แล้วไปพิสูจน์ให้ศาลท่านเห็นว่าการที่ฉลองไม่มาเริ่มงานตามสัญญาจ้างนี้ ทำให้บริษัทเกิดความเสียหายอย่างไร เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับศาลแล้วล่ะครับ

ซึ่งแน่นอนว่าบริษัท ก จะต้องเสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาล เตรียมข้อมูลต่าง ๆ ไปให้ศาลดู คงไม่ใช่ไปศาลครั้งสองครั้งแล้วจบ ก็อยู่ที่ว่าบริษัท ก จะยอมเสียเวลาหรือเปล่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง คำถามก็มีอยู่ว่าตกลงบริษัท ก ตั้งกิจการขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจของตัวเอง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้สมัครงานกันแน่ล่ะครับ สู้เอาเวลาที่จะต้องไปขึ้นศาลไปทำธุรกิจของตัวเองจะดีกว่าหรือไม่

3.ถ้าฉลองจะใช้วิธีศรีธนญชัยก็สามารถจะทำได้ นั่นก็คือฉลองไปเริ่มงานที่บริษัท ก แล้วทำงานไปสัก 2-3 วัน ฉลองก็ยื่นใบลาออกจากบริษัท ก ซึ่งตามระเบียบอาจจะระบุว่าพนักงานที่จะลาออกต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วัน ฉลองก็ทำตามนั้น (โดยขอผัดผ่อนบริษัท B ไปสัก 1 เดือน ซึ่งโดยทั่วไปถ้าฉลองมีคุณสมบัติที่บริษัท B อยากได้จริง ๆ ส่วนใหญ่รอได้อยู่แล้วครับ)

หากทำแบบนี้ บริษัท ก ก็จะฟ้องร้องค่าเสียหายกับฉลองไม่ได้ แต่ก็อีกแหละครับว่าทำไมไม่พูดกันตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องมาลับ-ลวง-พรางกันแบบนี้ ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่เลย แถมจะทำให้เสียความรู้สึกกันมากกว่าด้วยซ้ำไป

4.ฉลองทำให้บริษัท ก เกิดความรู้สึกแย่ไปกว่านั้นได้อีกคือ ฉลองก็มาทำงานกับบริษัท ก สัก 2-3 วัน แล้วยื่นใบลาออกวันนี้โดยมีผลวันพรุ่งนี้ โดยไม่ต้องทำตามระเบียบของบริษัท เพราะการที่ลูกจ้างยื่นในลาออกนั้นในทางกฎหมายแรงงานถือว่าลูกจ้างแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างกับนายจ้าง

หากลูกจ้างระบุวันที่มีผลไว้วันไหนในใบลาออก เมื่อถึงวันที่ระบุไว้ก็จะมีผลให้ลูกจ้างพ้นสภาพได้ทันที โดยไม่ต้องให้นายจ้างอนุมัติแต่อย่างใด ซึ่งหากฉลองทำแบบนี้ก็แน่นอนว่า บริษัท ก ยิ่งจะไม่พอใจมากขึ้นและยังสามารถไปฟ้องศาลแรงงานว่าการที่ฉลองไม่ยื่นใบลาออกตามกฎระเบียบของบริษัทนั้นทำให้บริษัทเกิดความเสียหายอย่างไรบ้าง คิดเป็นมูลค่าตัวเงินเท่าไหร่เพื่อให้ศาลพิจารณา ซึ่งกรณีนี้ก็จะคล้ายกับการไปฟ้องให้ศาลแรงงานตัดสินตามข้อ 1 ซึ่งอยู่ที่ศาลจะวินิจฉัยต่อไป

จากที่ผมแชร์มานี้ ท่านคงจะพอมีไอเดียแล้วนะครับว่า หากท่านที่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ ท่านควรจะปฏิบัติแบบไหนถึงจะเหมาะสม และในทำนองเดียวกัน หากท่านเป็นคนที่ทำงานด้าน HR หรือเป็นฝ่ายบริหารของบริษัท ก ท่านควรจะตัดสินใจอย่างไรถึงจะเหมาะสมเช่นกัน

สำหรับความเห็นส่วนตัวของผมนั้น การตัดสินใจรับคนเข้าทำงานกับการตัดสินใจแต่งงานนั้น ผมว่ามันมีอะไรที่คล้าย ๆ กันก็คือ เมื่อเราตัดสินใจแต่งงานหรือตัดสินใจรับคนเข้าทำงาน ก็หมายความว่าเราอยากจะใช้ชีวิตร่วมกันระยะยาว และหวังจะเจริญก้าวหน้าไปด้วยกันจริงไหมครับ

แต่ถ้าแม้ว่าจะตกลงปลงใจว่าจะแต่งงานกันแล้ว แจกการ์ดแล้ว แต่มาพบความจริงว่า อีกฝ่ายก็ไม่ได้รักและอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเราอย่างจริงจัง ก็สู้เจ็บแต่จบ ดีกว่ายืดเยื้อแล้วเรื้อรัง !

การรับคนเข้าทำงานก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อผู้สมัครเขาไม่อยากมาทำงานกับเราแล้ว ต่อให้บริษัทไปบีบบังคับถึงกับต้องให้เขาทำสัญญาใช้ค่าเสียหาย แล้วจะบังคับเอาตามสัญญา ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอนาคตอยู่แล้วว่าไปกันไม่ได้ ก็สู้เอาเวลาไปหาผู้สมัครงานคนใหม่ที่เขาอยากจะมาทำงานกับเราไม่ดีกว่าหรือ ซึ่งเรามีโอกาสจะได้คนใหม่ที่อาจจะดีกว่าคนที่ปฏิเสธเราในครั้งนี้ก็ได้นะครับ

ฝากไว้ให้เป็นข้อคิดสำหรับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครงานที่จะเซ็นสัญญาจ้าง และบริษัทที่คิดจะทำสัญญาประเภทนี้เอาไว้ด้วยว่าจะควรหรือไม่ และจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

แต่ถ้าบริษัทไหนยังเห็นสมควรจะทำสัญญาจ้างทำนองนี้อีกต่อไป ก็เอาตามที่สบายใจเลยนะครับ