อลิอันซ์ อยุธยา ต่อยอดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม จัด Go Green Sandbox เปิดรับไอเดียจัดการขยะจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการทำงานเพื่อสังคม
อลิอันซ์ อยุธยา ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม และความยั่งยืน โดยยึดมั่นหลัก ESG (environment social และ governance) ในการดำเนินธุรกิจ และมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า ตัวแทน พนักงาน และประชาชน ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
ล่าสุด บริษัทสานต่อนโยบายสิ่งแวดล้อมด้วยการจัดโปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ตอัพ ชวนคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในการทำงานด้านกิจการเพื่อสังคมมาเสนอไอเดียสร้างการรับรู้ และขับเคลื่อนสังคมเกี่ยวกับการจัดการขยะที่สามารถทำได้จริงภายใต้โครงการ “Go Green Sandbox”
พัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารงานลูกค้า บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสร้างการจัดการขยะให้เป็นคุณค่าร่วมขององค์กร ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมพนักงานในสำนักงาน พร้อมกับขยายผลไปยังบ้านของพนักงาน เพื่อลดปริมาณขยะให้มากขึ้น
ทั้งนั้น นับตั้งแต่ปี 2562 บริษัทริเริ่มโครงการ Allainz Ayudhya Goes for Green เพื่อกำหนดเส้นทางขยะให้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล (นำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่) และอัพไซเคิล (การใช้วัสดุที่ใช้แล้วมาสร้างสิ่งใหม่) ด้วยการจดบันทึกข้อมูลขยะ พร้อมทั้งจัดเตรียมถังขยะแยกประเภท รวมถึงจัดกิจกรรมให้ความรู้และกิจกรรมแยกแลกของที่พนักงานนำพลาสติกจากที่บ้านมาแลกเป็นสิ่งของต่าง ๆ แล้วทางบริษัทจะส่งเข้าระบบรีไซเคิลสร้างพลังงานทดแทน
โดยปี 2563 มีพนักงานจำนวนกว่า 200 คนเข้าร่วมกิจกรรมการแยกขยะพลาสติกเพื่อนำไปรีไซเคิล ทำให้ขยะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลถึง 51.09% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 12,967.98 กิโลกรัม (kgCO2e) แยกขยะจากเศษอาหารสำหรับทำเป็นปุ๋ยหมักถึง 746 กิโลกรัม ทั้งยังนำผ้าที่ใช้แล้วไปทำเส้นใยผลิตเป็นเสื้อพนักงานใหม่ ช่วยลดคาร์บอน 31,836 กิโลกรัม (kgCO2e)
“ปีนี้เราต่อยอดทำโครงการ Go Green Sandbox โปรแกรมบ่มเพาะกิจการเพื่อสังคม (social incubation) ด้านสิ่งแวดล้อมและการแยกขยะ โดยร่วมมือกับ School of Changemakers องค์กรบ่มเพาะคนที่อยากแก้ปัญหาสังคม เพื่อเปิดพื้นที่การเรียนรู้และสนับสนุนให้ผู้สนใจสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มาทดลองคิด และทดลองแก้ปัญหาด้านขยะใหม่ ๆ จนกระทั่งสามารถริเริ่มโครงการหรือกิจการได้จริง”
โดยโจทย์ที่เปิดรับไอเดียมีทั้งหมด 5 ด้าน คือ
- จูงใจคนวัยทำงานที่ยังไม่สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมหันมาแยกขยะ
- พัฒนาจุดแยกขยะในสำนักงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- นำขยะที่แยกแล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้จริง
- ลดการใช้พลาสติกและทรัพยากรอื่น ๆ เช่น ต่อยอดการลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (single use plastic) และลดการใช้เสื้อผ้าตามกระแส คุณภาพต่ำที่เน้นใส่เพียงไม่กี่ครั้ง (fast fashion)
- สร้างการมีส่วนร่วมของคนวัยทำงานให้ทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในองค์กร
“พัชรา” อธิบายต่อว่า ผู้สมัครต้องสมัครมาเป็นทีม โดยมีผู้สมัครเข้ามาทั้งหมด 22 ทีม และคัดเลือกทีมเข้าร่วมโครงการ 12 ทีม ซึ่งผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะถูกเรียกว่า sandboxer (แซนด์บอกเซอร์) ทั้งยังมีโอกาสทำงานร่วมกับอลิอันซ์ อยุธยา และ School of Changemakers เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยในช่วงแรก น้อง ๆ จะได้เรียนรู้โจทย์ปัญหาจริงจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหาร แม่บ้าน และพนักงานของอลิอันซ์ อยุธยา
“จากนั้นจะได้เรียนรู้ บ่มเพาะไอเดียในการตั้งต้น (idea to prototype) ผ่านแพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่เหมาะสมให้รวมตัวกันจำนวนมาก ๆ ต่อด้วยรับการพัฒนาจากไอเดียตั้งต้นไปสู่การลงมือทำการทดสอบตัวต้นแบบ (testing prototype) และนำเสนอไอเดีย (pitching) ต่อคณะกรรมการ และประชาชน ผ่านระบบการถ่ายทอดสดบนเฟซบุ๊ก เพจ Humans of Allianz Ayudhya เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยทีมที่ถูกเลือก 5 ทีม จะรับเงินทุนตั้งต้นกิจการสูงสุด 20,000 บาทต่อทีม”
“การที่ทำโครงการนี้ไม่ใช่เพียงสนับสนุนสตาร์ตอัพคนรุ่นใหม่ที่ต้องการแก้ปัญหาสังคมเท่านั้น แต่เพื่อให้พนักงานของอลิอันซ์ อยุธยา ได้เรียนรู้ไอเดียจากคนนอกองค์กรด้วย เพราะทั้ง sandboxer ผู้บริหาร และพนักงานอลิอันซ์ อยุธยา รวมถึง School of Changemakers
จะได้พบและพูดคุยแลกเปลี่ยนกันทุก ๆ เดือน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และเราจะหาโอกาสต่อยอดผลลัพธ์ของโครงการขยายไปในวงกว้าง เพื่อหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในปี 2564 จะสามารถเพิ่มอัตราการรีไซเคิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากขึ้น”
“พรจรรย์ ไกรวัตนุสสรณ์” ผู้ก่อตั้ง School of Changemakers กล่าวเสริมว่า ทีมที่สามารถถ่ายทอดไอเดียดีที่สุดออกมาจะได้รับเงินทุนทดลองทำโครงการ 20,000 บาท ทั้งยังมีโอกาสพัฒนาเป็นโครงการที่สร้างความยั่งยืนให้กับสังคมไทย โดย 4 ทีม มาจากการคัดเลือกของกรรมการ และอีก 1 ทีมมาจากคะแนนโหวตมากที่สุดจากผู้ชมผ่านการถ่ายทอดสดบนช่องทางเฟซบุ๊กเพจ Humans of Allianz Ayudhya โดยทั้ง 5 ทีมที่ผ่านการพิตชิ่ง ได้แก่
1) Happicup มีจุดเด่นด้านการเปลี่ยน “พลังเพื่อนหญิง” เป็น change agent สร้างคอนเทนต์สนุก ๆ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียเพื่อลดการสร้างขยะ เช่น ถ่ายภาพอาหารก่อน-หลังทาน เพื่อชวนกันทานอาหารให้หมด ลดขยะอาหาร หรือใช้พื้นที่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์เปิดตลาดแลกเปลี่ยนสิ่งของเสื้อผ้า
2) Wastelander สร้างวัฒนธรรม “ผูกปิ่นโต” ให้แข็งแกร่ง เปลี่ยนการสั่งอาหารดีลิเวอรี่มาใช้ภาชนะหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ โดยมีระบบรับส่งและบริการล้าง จับมือร่วมกับร้านอาหารรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และตั้งใจจะขยายไปร้านอื่น ๆ เพื่อขยายวงกว้างสร้างแรงจูงใจต่อไปไม่หยุด
3) Chaimeang-tech ปรับการสื่อสารมาอยู่บน “แพลตฟอร์มออนไลน์” ผ่านโปรเจ็กต์ KAYA ทั้งการสร้าง LINE OA เพื่อสื่อสารและประชาสัมพันธ์กิจกรรม ให้ความรู้ด้านการคัดแยกขยะในรูปแบบดิกชันนารี และชวนผู้ใช้มาเปลี่ยนขยะเป็นแต้มแลกสินค้าและบริการจากร้านค้าพาร์ตเนอร์ ด้วยการใช้แพลตฟอร์มเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมพิเศษ
4) Dark Horses เปลี่ยนนิยามถังทิ้งขยะเป็น “ถังฝากให้” ในรูปแบบกล่องใสให้เห็นลักษณะขยะเพื่อให้ผู้ทิ้งสามารถแยกรีไซเคิลง่ายขึ้น สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมทิ้งขยะของคนในออฟฟิศ ขยายไปสู่การแยกขยะที่บ้าน และทำให้ขยะถูกนําไปใช้ประโยชน์และเห็นภาพจับต้องได้
5) To-Greenquality ฝึกแยกขยะง่ายเหมือน “เล่นเกม” ด้วย web-based online game สื่อการสอนให้คนคัดแยกขยะพร้อมกับแลกรางวัล โดยออกแบบสื่อการสอนให้เหมาะสมกับความสนใจของผู้ใช้ หรือการเปลี่ยนคะแนนในเกมให้เป็นโวเชอร์ ลดราคาอาหารกับร้านค้าในตึก
“พรจรรย์” กล่าวด้วยว่า จากประสบการณ์การทำงานด้านการสร้างนักเปลี่ยนแปลงสังคมมากว่า 10 ปี พบว่ามีผู้ที่มีความตั้งใจอยากแก้ไขปัญหาสังคมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ยังขาดแนวทาง ความรู้ และจุดเริ่มต้นที่ดีให้พวกเขาได้นำไอเดียมาสู่การปฏิบัติ อีกทั้งยังขาดพื้นที่และเงินทุนสนับสนุนให้ไอเดียเหล่านั้นเป็นจริงได้
“ปัญหาของผู้ที่อยากริเริ่มทำกิจการหรือโครงการเพื่อสังคมในประเทศไทยคือ ไม่มีที่ทดลองและทดสอบโครงการ เพราะองค์กรในไทยส่วนใหญ่มักมองหาโซลูชั่นที่มีอยู่แล้วในตลาด ดังนั้นถ้านำโมเดล Go Green Sandbox มาถอดเป็นบทเรียน เพื่อเป็นตัวอย่างให้องค์กรในไทยมาช่วยกันสนับสนุนคนที่อยากคิดโซลูชั่นเพื่อสังคมใหม่ ๆ และกล้าเปิดพื้นที่และลงทุนให้คนมาทดลอง ก็จะทำให้ประเทศไทยมีคนลุกขึ้นมาทำงานเพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้”
นับว่า Go Green Sandbox คือ การรวมพลังของคนมีใจที่อยากเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นสังคมที่น่าอยู่อย่างแท้จริง