สุจิตต์ วงษ์เทศ ชี้ ศาสนาผีเป็นศาสนาสากลที่ทั่วโลกยอมรับ แต่ในไทยกลับนิยามเป็นความเชื่อชุดหนึ่งเท่านั้น
วันที่ 2 ตุลาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักพิมพ์มติชนจัดเสวนาในหัวข้อ “ศาสนาผี ในไทยหลายพันปี ก่อนประวัติศาสตร์ ถึงปัจจุบัน” บรรยายโดย “สุจิตต์ วงษ์เทศ” กวี นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักประวัติศาสตร์ และนักปราชญ์ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวทางวัฒนธรรมตลอดจนวิถีชีวิตของคนไทยมาอย่างยาวนาน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
ภายในงานมีกิจกรรม Special Talk และการอ่านบทกวี “ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ขบคิดสังคมไทยผ่านโคลงกลอน” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อุ่นใจ พร้อมเปิดตัวหนังสือ “ข้างขึ้นข้างแรม” ผลงานเล่มใหม่ของขรรค์ชัย บุนปาน และสุจิตต์ วงษ์เทศ
สุจิตต์กล่าวว่า คนส่วนมากมักอ้างตามประเพณีว่านับถือศาสนาพุทธและไม่ได้นับถือศาสนาผี แต่หากพิจารณาแล้ว ศาสนาผีล้วนอยู่ในสังคมรอบตัว ที่เห็นได้ชัด คือ ศาลผีในบ้านหรือศาลพระภูมิ ที่เรียกว่า “พระภูมิเจ้าที่” พิธีบายศรีสู่ขวัญ การทำขวัญนาค งานมหรสพในงานศพ การเก็บอัฐิคนตายไว้ในบ้านและในวัด รวมถึงการลอยกระทงขอขมาผีน้ำผีดิน เป็นต้น
ศาสนาผีเป็นจุดเริ่มต้นและยาวนานกว่าทุกศาสนาใด ๆ เพียงแต่คนไทยและนักวิชาการไทยจำนวนหนึ่งไม่ยอมรับและนับเป็นแค่ความเชื่อชุดหนึ่งเท่านั้น
ศาสนาผีเป็นศาสนาสากล มีครั้งแรกพร้อมกับมนุษย์เมื่อหลายพันปีมาแล้ว และมีศาสนสถานขนาดใหญ่โต ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก เช่น พีระมิดในอียิปต์ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ในจีน เป็นต้น
ความเชื่อเรื่อง ขวัญ และหญิงเป็นใหญ่ในศาสนาผี
ศาสนาผีเชื่อเรื่อง “ขวัญ” เป็นสำคัญ ซึ่งไม่เหมือนและต่างกันมากกับวิญญาณในศาสนาพราหมณ์-พทุธ โดยวิญญาณในศาสนาพราหมณ์-พุทธ มีดวงเดียวในมนุษย์ทุกคน เมื่อคนตายวิญญาณจะออกจากร่างและไปเกิดใหม่ในทันที ส่วนขวัญในศาสนาผีนั้นมีนับไม่ถ้วน แม้คนจะตายแต่ขวัญไม่ตาย และจะถูกเรียกว่า “ผี”
ทั้งนี้ การเรียกขวัญทำขึ้นจากฐานคิดที่ว่า ขวัญนั้นหลงทางและต้องตีกลองกล่าวร้องเพลง เพื่อให้ขวัญกลับมาถูกที่ เป็นที่มาของปี่พาทย์และมหรสพของงานศพในปัจจุบัน
นอกจากนี้ สุจิตต์ยังกล่าวอีกว่าการสวดอภิธรรมศพในปัจจุบันก็มาจากศาสนาผี และเริ่มมีขึ้นไม่นานในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งปรับมาจากการรำสวดของศาสนาผีซึ่งมีมาแต่โบราณ แต่มีความคึกคะนองมากเกินไป ดังนั้นการสวดพระอภิธรรมจึงมาจากเสียงเรียกขวัญในศาสนาผี ซึ่งไม่มีในพุทธศาสนาที่อินเดียและลังกา
ทั้งนี้การทำพิธีต่าง ๆ ในศาสนาผีจะกระทำโดยผู้หญิง เนื่องจากศาสนาผียกย่องหญิงให้มีอำนาจเหนือชาย ซึ่งในตะวันตกจะถูกเรียกว่าเทพี ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเรียกว่า แม่ หรือ เจ้าแม่ โดยศาสนาผีมีความเชื่อว่าการเข้าทรงคือการติดต่อกันระหว่างผีกับคน และร่างทรงต้องเป็นผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าชุมชนเท่านั้น ซึ่งจะมีฐานะเป็นเจ้าของพิธีกรรม
โลกหลังความตายในศาสนาผี
ประเด็นสำคัญที่สุดของศาสนาผีคือเรื่องหลังความตายซึ่งจะไม่มีโลกหน้า เพียงแต่ไปอยู่ในโลกของผี ทั้งนี้การปฏิบัติต่อคนตายจะถูกแบ่งตามชนชั้นของคนในสังคม ชาวบ้านธรรมดาจะไม่มีพิธีกรรมอะไรมากนัก แต่ชนชั้นนำหรือหัวหน้าเผ่าพันธุ์จะมีพิธีกรรมที่ยุ่งยากกว่า มีการทำพิธีในลานกลางหมู่บ้าน ซึ่งสุจิตต์เปรียบเทียบว่าเหมือนกับสนามหลวง ซึ่งมีอุดมคติเดียวกันเพียงแต่เป็นระดับที่ใหญ่กว่าในสมัยหลัง
หลังจากตายแล้วและเรียกขวัญกลับมาไม่ได้ จะต้องมีการส่งขวัญขึ้นสู่ฟ้าเพื่อไปอยู่กับผีฟ้า โดยหมอขวัญ หมอแคน จะร้องพรรณนาสั่งเสียและฟ้อนรำเป็นบทเพลงที่บอกเส้นทางขึ้นสู่ฟากฟ้า
อีกวิธีหนึ่งคือการส่งขวัญด้วยเรือ ซึ่งอยู่บนฐานคิดที่ว่าบนท้องฟ้ามีผืนน้ำกว้างใหญ่อยู่ ดังนั้นจึงต้องใช้เรือนำทางขวัญ ซึ่งพบหลักฐานเป็นรูปเรือโบราณบนกลองมโหระทึกราว 2,500 ปีมาแล้ว
สุจิตต์มีความคิดเห็นว่าอีกหนึ่งผู้นำทางขวัญ คือ สุนัข เนื่องจากเป็นผู้รู้ทิศทางและนำทางให้มนุษย์ในการล่าสัตว์ โดยจะพบรูปเขียนสุนัขหลายแห่งในถ้ำและหน้าผ้า อีกทั้งยังมีการฆ่าสุนัขเพื่อให้ขวัญของสุนัขนำทางขวัญของคนตายด้วยเมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว
หลังจากส่งขวัญขึ้นฟ้าแล้วกระดูกจะถูกใส่ไว้ในภาชนะดินเผาและนำไปฝังดิน โดยเรียงให้มีโครงร่างเหมือนมนุษย์ แล้วนำไปไว้ใต้บ้านที่ทำไว้เพื่อคนตายซึ่งเรียกว่า “เฮือนแฮ่ว”
ภาพชนะดินเผาใส่กระดูกคนตายจึงกลายเป็นต้นแบบโกศ และการเก็บกระดูกคนตายเป็นต้นแบบของการเก็บอัฐิไว้ในบ้านและในวัด ซึ่งไม่ได้มาจากพุทธศาสนา เนื่องจากทางอินเดียนั้นไม่มีพิธีกรรมดังกล่าว นอกจากนี้พิธีบังสุกุลหรืออุทิศส่วนกุศลให้บรรพชนเจ้าของอัฐิในวันสงกรานต์ก็มีที่มาจากศาสนาผีดังกล่าวด้วยเช่นกัน ไม่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเลยแม้แต่น้อย
ศาสนาผี ประเพณี และวิถีชีวิต
สุจิตต์กล่าวว่า ไทยนำศาสนาพุทธมาครอบงำศาสนาผี จึงทำให้ผู้คนหลงลืมและคิดว่าประเพณีทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละปีนั้นมาจากศาสนาพุทธ ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เริ่มจากการขึ้นปีนักษัตรใหม่ในช่วงเดือนอ้าย (ธันวาคม) ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีตามจันทรคติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มาจากศาสนาผี ซึ่งพุทธจากอินเดียนั้นไม่มี
ถัดมาในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ จะเป็นช่วงเกี่ยวข้าว นวดข้าว และทำขวัญข้าว ซึ่งก็เป็นการบูชาผีทั้งสิ้น
ถัดมาจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นหน้าแล้ง ก็จะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีและขอฝนเนื่องจากไม่มีน้ำ ดังนั้นจึงต้องทำพิธีให้ฝนตกเพื่อเตรียมทำนาต่อไป
จากนั้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม ที่เป็นช่วงหน้าฝน ก็จะมีพิธีนาตาแฮกสู่การเริ่มทำนา ซึ่งเป็นที่มาของพิธีแรกนาขวัญในปัจจุบัน
ถัดมาจนถึงปลายปีก็จะเป็นช่วงขอขมาดินและน้ำที่ทำให้พืชผลทางการเกษตรงอกงามและให้ผู้คนได้อุปโภคบริโภคตลอดปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นประเพณีการแข่งเรือและลอยโคม (ลอยกระทงในปัจจุบัน) และเพื่อขอให้น้ำลดลงโดยเร็วเพื่อจะได้เกี่ยวข้าวในช่วงต้นปีต่อไป
พิธีที่เกิดขึ้นในรอบปีเหล่านี้เริ่มต้นจากศาสนาผี จากนั้นจึงค่อยถูกปรับเป็นพระราชพิธีในสมัยที่เริ่มมีรัฐและบ้านเมืองขึ้นในสมัยหลัง สุจิตต์กล่าว
คนในดินแดนไทยหลายชาติพันธ์ุนับถือศาสนาผีมากว่า 3,000 ปี แล้ว เพราะในสมัยนั้นยังไม่ได้ติดต่อและรับศาสนาพุทธหรือพราหมณ์มาจากอินเดีย
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้ว คนไทยยังคงนับถือศาสนาผีควบคู่ไปกับการนับถือพุทธและพราหมณ์ ศาสนาผีจึงยังคงดำรงอยู่ในไทยมาแล้วหลายพันปี จวบจนปัจจุบัน