เที่ยว ทรอนด์แฮม นอร์เวย์ ตามรอยประพาส ร.5

นอร์เวย์
บ้านไม้หลากสี
ผู้เขียน : กษมา ศิริกุล

นักท่องเที่ยวไทยน้อยคนนักที่จะแวะเที่ยวเมือง Trondheim (ทรอนด์แฮม) หรือทรอนด์เยม ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับ เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2450 หรือ 115 ปีก่อน ทั้งมีบันทึกพระราชกรณียกิจประจำวัน ไว้ด้วยว่า

“เมืองทรอนด์เยม ได้ประทับรถไฟรางขนาดใหญ่ จากเมืองคริสเตียเนียไปถึงตําบลฮามาร์ สองข้างทางรถไฟเป็นภูเขาหินสูง ๆ ต่ำ ๆ และป่าสน มีบ้านเรือนไม้ ปลูกอยู่ห่าง ๆ กัน ผู้คนที่อาศัยอยู่ไม่ได้แต่งตัวพื้นเมืองแล้ว เสด็จฯถึงตําบลฮามาร์เสวยพระกระยาหารกลางวันที่ภัตตาคาร ประทับรถไฟรางขนาดเล็กกว่ารถไฟที่ประทับจากเมืองคริสเตียเนีย

แล่นเลียบแม่น้ำโกเบลอดะเมน ผ่านป่าสนที่ขึ้นอยู่บนพื้นดินสูง ๆ ต่ำ ๆ และสะพานไม้สน เสด็จฯ ถึงเมืองทรอนด์เยม ประทับแรมที่โรงแรมบริตันเนียได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรวิหารหินอ่อน ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษกและเป็นที่ฝังศพของเซนต์ ออลาฟ เสด็จประพาสเขาฟยีเซตตา ซึ่งมีเขื่อนกักเก็บน้ำ ยอดเขาเลี้ยงกวางเรนเดียร์ และเป็นที่เล่นสกี

เสด็จประพาสน้ำตกและทอดพระเนตรการทําไฟฟ้าจากพลังน้ำตก และการทําปุ๋ยไนเตรต ชาวเมืองทรอนด์เยมในขณะนั้นมีประมาณ ๑๘,๐๐๐ คน มีดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ผมสีซีดเกือบขาว ตัวเมืองเป็นพื้นที่ราบ พ้นออกไปเป็นลูกเขาที่สูงกว่าเนินพื้นเทลาดลงไปยังแม่น้ำนิเดลเบียนที่ล้อมตัวเมืองอยู่ปากอ่าว มีการปลูกโรงสินค้าด้านเหนือแม่น้ำมองเห็นภูเขา มีป้อมและตึกใหญ่อยู่ห่าง ๆ กัน

บ้านเรือนส่วนใหญ่มี ๓ ชั้น ปลูกด้วยไม้สน ชั้นล่างเป็นห้องใต้ดินก่ออิฐ ต่อกับเตาและปล่องไฟ หน้าต่างเป็นบานกระจก ในเมืองมีธนาคาร โรงเรียน พิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่จะเตรียมตัวไปนอร์ทเคป” (ที่มา : นิตยสารศิลปากร ปีที่ ๕๔ ฉบับที่ ๓ : หน้า 79)

เมืองใหญ่อันดับ 3 ของนอร์เวย์

ทรอนด์แฮม ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศนอร์เวย์ เป็นเมืองใหญ่อันดับสามและเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ เพราะเคยเป็นเมืองหลวงที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อเป็นเมืองแห่งการค้าโดยชาวไวกิ้งเมื่อปี ค.ศ. 997 จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1760 และกษัตริย์องค์ใหม่ยังคงครองตำแหน่งที่นี่

ในส่วนของการเดินทางมายังเมืองทรอนด์แฮม ปัจจุบันมีความสะดวกทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะโดยสารด้วยเครื่องบิน รถยนต์ รถไฟ หรือแม้แต่ทางเรือ

5 หมุดหมายหลัก

ไฮไลต์สำคัญนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่เมืองทรอนด์แฮม ซึ่งไม่ควรพลาดเลย คือ “มหาวิหารนีดารูส” (Nidaros) สัญลักษณ์ของเมือง เป็นวิหารที่ได้รับการขนานนามว่า งดงามที่สุดในสแกนดิเนเวีย และเป็นมหาวิหารเดียวที่ตั้งอยู่เหนือสุดของโลก เป็นวิหารที่ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 230 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 1070 ถึง ค.ศ. 1300 เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้อต่อการก่อสร้าง และความยากจนของนอร์เวย์ในยุคนั้น

มหาวิหารนีดารูส

โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ยุคกลางที่เก่าแก่ที่สุดในโลก พระมหากษัตริย์ได้รับการสถาปนาและถูกฝังไว้ที่นี่ และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1814 เป็นต้นมา รัฐธรรมนูญของนอร์เวย์ได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์ควรได้รับการสวมมงกุฎในวิหารแห่งนี้ ทั้งยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน Nidaros นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของเมืองทรอนด์แฮม

จากปี ค.ศ. 1164 ถึงปี 1906 ที่นี่เป็นที่ซึ่งกษัตริย์ของนอร์เวย์ได้สวมมงกุฎและพระราชวังอาร์คบิชอปที่อยู่ติดกันนั้น เป็นที่บรรจุมงกุฎของประเทศหรือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของนอร์เวย์ มหาวิหารแห่งนี้เคยได้รับความเสียหายจากไฟไหม้หลายครั้ง และได้รับการบูรณะอย่างเต็มที่ในช่วงต้นทศวรรษ 1900

จุดที่ 2 เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องแวะเช็กอิน บ้านไม้หลากสี หรือ Bakklandet จุดที่ 3 สะพานเมืองเก่า Gammle Bybro เป็นสะพานไม้สีแดง สร้างเพื่อข้ามแม่น้ำ Nidelva อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน เชื่อกันว่า หากนักท่องเที่ยวเดินลอดซุ้มสีแดงของสะพานใหม่จะโชคดี

เมื่อเดินข้ามสะพานเมืองเก่าไปถนนที่เรียงรายด้วยก้อนอิฐสวยงามและบ้านเก่าแก่หลากสีสันในย่าน Bakklandet นักท่องเที่ยวจะรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในเมืองนิทานในหมู่บ้านไม้หลังเล็ก ๆ

อาคารริมแม่น้ำที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหาร แกลเลอรี่แสดงงานศิลปะ และเป็นสถานที่ยอดนิยมในการเดินเล่นริมแม่น้ำ ชมทัศนียภาพของบริเวณมหาวิหาร Nidaros สามารถเรียก Bakklandet ว่า เป็นย่านประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของเมืองเลยทีเดียว

ป้อมปราการ Kristiansten

จุดที่ 4 ป้อมปราการ Kristiansten (Kristiansten Festning) ป้อมสีขาวบนเนินเขา สร้างขึ้นปี ค.ศ. 1681-1685 เพื่อปกป้องเมืองจากการถูกโจมตีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นที่ระลึกถึงผู้ที่ถูกประหารชีวิตที่นี่ในช่วงสงคราม ซึ่งนักท่องเที่ยวจะเห็นทิวทัศน์เมืองทรอนด์แฮมจากป้อมปราการแห่งนี้

เที่ยวนอกเมือง ชมวิถีชีวิตชาวไวกิ้ง

จุดที่ 5 คือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง หรือ Trondelag Folk Museum ได้รับการก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1909 เป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน จากกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบ ตัดสินใจที่จะรวบรวมอาคารและวัตถุที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์

พื้นที่รอบ ๆ ซากปรักหักพังของป้อมปราการถูกจัดสรรไว้เพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ และของสะสมก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งนี้ เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์ ปัจจุบันมีอาคารมากกว่า 60 แห่งครอบคลุมกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ

นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนอร์เวย์ในอดีตที่มีทั้งกิจกรรม การทำฟาร์มปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ การยิงธนู ตลอดจนถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอยในครัวเรือน เช่น เตียงนอนที่มีขนาดเล็ก สมัยโบราณเชื่อว่าการนอนราบ ๆ เป็นเหมือนคนตายแล้ว จึงใช้ลักษณะการนอนแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน

บ้านหลังคาสนามหญ้า

ลักษณะการสร้างบ้านสไตล์นอร์เวย์ หรือ นอร์วีเจียนดั้งเดิมคือ “บ้านหลังคาสนามหญ้า” หรือ Turf Roofs ของชาวสแกนดิเนเวีย เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยของชาวไวกิ้งที่นิยมใช้แผ่นหญ้ามาปกคลุมหลังคา ทำให้บ้านมีความชุ่มชื้นร่มรื่นในฤดูร้อน อบอุ่นในฤดูหนาว โดยใช้หินเรียงเป็นฐานบ้านก่อนวางแผ่นไม้ทับ

แต่หลังศตวรรษที่ 18 หลังคากระเบื้องเข้ามาแทนที่ คนส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนไปใช้วัสดุสำเร็จรูปแทน ทำให้ปัจจุบันหาดูได้ยาก

พักโรงแรมตามรอยประทับ-ชิมอาหารมิชลินสตาร์

คนไทยที่เดินทางมาทรอนด์แฮมครั้งแรกไม่ควรพลาดที่จะตามรอยประพาส ต้องพักค้างคืนที่ “โรงแรมบริตันเนีย” ที่ทรงเคยประทับ ปัจจุบันโรงแรมรีโนเวตใหม่ระดับ 6 ดาว ไม่ใช่เพียงสวยงาม ยังนำอุปกรณ์สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์มาอำนวยความสะดวกให้ด้วย

ไฮไลต์สำคัญ อยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ มีร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์อย่าง Credo และสปา ที่มีความงดงามระดับที่ใคร ๆ ต้องตะลึงว่า ดาวดึงส์หรือโลกมนุษย์ให้ลองสัมผัส

ด้านความสะดวกของโรงแรมถือว่า อยู่ในทำเลใจกลางเมืองธุรกิจ แหล่งช็อปปิ้ง และยังสามารถเดินเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยว จุด 1-4 โดยไม่ต้องใช้รถ ยกเว้นจุดที่ 5 พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ต้องนั่งรถออกไป 15 นาที

สุดท้ายการสัญจรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเมืองนี้ คือ จักรยาน และสกูตเตอร์ ด้วยทิวทัศน์และความสวยงามของเมือง อีกทั้งถนนในตัวเมืองจะถูกแบ่งฝั่งซ้าย-ขวาให้เป็นทางจักรยาน และสกูตเตอร์ไฟฟ้าใช้บัตรเครดิตแตะชำระได้อีกด้วย