รู้จัก “Jipjip Money” สินเชื่อสินค้าแบรนด์เนม เจ้าแรกของโลก

Jipjip Money
เสาวนีย์ ผไทวณิชย์

บริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัด เปิดตัวธุรกิจใหม่ “Jipjip Money” สินเชื่อสำหรับสินค้าแบรนด์เนมเจ้าแรกในโลกและเจ้าเดียวในไทย รับตลาด luxury เติบโตต่อเนื่อง

วันที่ 25 ตุลาคม 2566 นางสาวเสาวนีย์ ผไทวณิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัด เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “Jipjip Money” สินเชื่อสำหรับสินค้าแบรนด์เนมที่แรกของโลกและที่เดียวในประเทศไทย หลังเพิ่งประสบความสำเร็จจากการเปิดตัว “bagforcash” ธุรกิจขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนมไปเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา

บริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัด เริ่มต้นมาจากแพสชั่นของ น.ส.เสาวนีย์ที่หลงใหลในกระเป๋าแบรนด์เนมและศึกษาจนเกิดความชำนาญ ด้วยประสบการณ์ในวงการกระเป๋ากว่า 15 ปี ทำให้เข้าใจและมองเห็นโอกาสในตลาด luxury 

จึงเกิดเป็นไอเดียธุรกิจ “bagforcash” กระเป๋าแลกเงินขึ้นเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงจัดตั้ง บริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท จนกระทั่งได้รับใบอนุญาตสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ จากธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2565

สินเชื่อแบรนด์เนมเจ้าแรกในโลก

สำหรับธุรกิจใหม่ Jipjip Money น.ส.เสาวนีย์ กล่าวว่า Jipjip Money ทำหน้าที่เหมือนบริษัทสินเชื่อทั่วไป เมื่อลูกค้าเจอกระเป๋าที่อยากได้ ก็คุยเรื่องวงเงินกับบริษัทฯ ส่งเอกสารรับรองเงินเดือนต่าง ๆ แล้วบริษัทฯ ก็จะดำเนินการอนุมัติต่อไป เหมือนกับซื้อรถและบ้าน เพียงแต่เปลี่ยนโปรดักต์มาเป็นกระเป๋าแบรนด์เนม

Jipjip Money

สำหรับดอกเบี้ยและวงเงินที่อนุมัติก็จะขึ้นอยู่กับเครดิตลูกค้า ถ้าเครดิตดีบริษัทฯ ก็สามารถให้ดอกเบี้ยต่ำได้ โดยมีอัตราอยู่ที่ 1.59-1.99% ต่อเดือน ภายใต้ระยะเวลา 12-60 เดือน ในวงเงินบัตรั้งแต่ 30,000 บาทและไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อสัญญา โดยลูกค้าต้องมีเงินเดือนขั้นต่ำที่ 30,000 บาท

บริษัทฯ มีความเชื่อเรื่องเครดิต คนที่เครดิตดีจะไม่อยากผิดนัดชำระหนี้ บริษัทฯ เพียงเซ็ตสกอร์ของให้สูงขึ้นและเช็กทุกอย่างตามกระบวนการ อนุมัติวงเงินไม่ได้ไม่เป็นไร แต่อย่าเอาหนี้เสียพอ

ตอนนี้เริ่มมีลูกค้าเสนอขอสินเชื่อมาแล้ว 10 สัญญา ตั้งเเต่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ อนุมัติไปแล้ว 4 สัญญา

เนื่องจากยอด bagforcash ธุรกิจขายฝากกระเป๋าอีกแบรนด์หนึ่งของบริษัทฯ ที่ทำมาก่อนหน้านี้มียอดสัญญารวมประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเยอะอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้า Jipjip Money ทำยอดได้เดือนละ 10 ล้านบาท ก็พอใจแล้ว

สำหรับธรุกิจนี้ ร้านค้าต้องส่งกระเป๋ามาให้บริษัทฯ เพื่อทำการตรวจสอบ ทั้งเรื่องความแท้และการประเมินราคาจากผู้เชี่ยวชาญและ AI ที่มีมาตรฐานระดับโลก 

โดยบริษัทฯ เป็นพาร์ตเนอร์กับกว่า 20 ร้าน จากนั้นบริษัทฯ จะนำส่งสินค้าให้ลูกค้าด้วยตนเอง เพื่อป้องกันกรณีที่ลูกค้าทำสัญญาเปล่าหรือนำเงินไปใช้อย่างอื่นที่ไม่ได้ซื้อกระเป๋า 

“กระเป๋าแลกเงิน” ประสบความสำเร็จ

น.ส. เสาสนีย์ กล่าวอีกว่า สำหรับ bagforcash ที่บริษัทฯ เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมาถือว่าประสบความเร็จเป็นอย่างมากจากลูกค้าทั่วประเทศ 

Bagforcash มียอดการขายฝากกว่า 1,200 สัญญา มูลค่ารวมประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปีตามกฎหมายกำหนด และให้สัญญาละไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายที่ 25-30 ล้านบาทต่อเดือน 

บริษัทฯ จะมีการเตือนลูกค้าในช่วงใกล้ถึงเวลาต่อสัญญา ตั้งแต่ 15 วัน 7 วัน 3 วัน จนกระทั่งวันสุดท้าย เพื่อสื่อว่าบริษัทฯ ไม่ได้อยากได้กระเป๋าของลูกค้า ทั้งนี้มีจำนวนลูกค้าที่ผิดนัดชำระตามสัญญาอยู่ที่ 2%

ตอนนี้บริษัทฯ มีตู้เซฟเพื่อรักษากระเป๋าลูกค้าที่มาแลกเป็นเงินภายในออฟฟิศบนพื้นที่ 500 ตารางเมตร ปัจจุบันมีอยู่ 2 ตู้ และกำลังจะขายตู้ที่ 3 โดยแต่ละตู้เก็บกระเป๋าได้ถึง 800 ใบแบบ 1 ต่อ 1 ซึ่งได้ทำประกันกับบริษัทประกันไว้ด้วยในวงเงิน 150 ล้านบาท

Jipjip Money

แบรนด์เนมไม่ฟุ่มเฟือย

น.ส.เสาวนีย์ ผไทวณิชย์ กล่าวว่า สินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย ส่วนตัวมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนและสามารถทำกำไรให้กับผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดี นอกจากมูลค่าที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ยังสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ไวกว่า สามารถดูได้จากอัตราการเติบโตของมูลค่าตลาดสินค้า luxury ทั่วโลกที่สูงขึ้นทุกปี ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร 

ในปี 2565 มูลค่าตลาดสินค้า luxury ทั่วโลกสูงถึง 13 ล้านล้านบาท และในประเทศไทยก็มีมูลค่าตลาดกว่า 1.41 แสนล้านบาท

“ความนิยมของกระเป๋าแบรนด์เนมไม่เคยลดลง แต่กลับมีมูลค่าสูงขึ้นแซงเกินเงินเฟ้อด้วยซ้ำ หากวันนี้คนกู้ซื้อรถ กู้ซื้อบ้านได้เป็นปกติ เราก็เชื่อว่าการกู้ซื้อกระเป๋าก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลกอะไร 

แค่คนอาจจะยังไม่ชิน เพราะยังติดยึดกับความเชื่อเดิม ๆ ว่าสินค้าแบรนด์เนมเป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย แต่หากใช้เหตุผลมาประกอบ ลองเทียบมูลค่ากระเป๋าแบรนด์เนมกับรถยนต์หรืออสังหาริมทรัพย์สักหลัง แบบ 1 ต่อ 1 โดยใช้เงินเท่ากัน ระยะเวลาเท่ากัน รับรองว่ากระเป๋าแบรนด์เนมยังคงมูลค่าสูงกว่า

ที่สำคัญค่าบำรุงรักษากระเป๋าแบรนด์เนมยังใช้เงินน้อยกว่า หรือหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วน กระเป๋าแบรนด์เนมสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายกว่ารถและอสังหาริมทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนควรศึกษาและเข้าใจตลาดแบรนด์เนมให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน” น.ส.เสาวนีย์ ผไทวณิชย์

Jipjip Money

เตรียมเข้าตลาดปี 2569

สำหรับแผนการตลาดในอนาคตของบริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัด ที่วางไว้ น.ส.เสาวนีย์ กล่าวว่า เป้าหมายของบริษัทคือเจ้าแรกในตลาดสินเชื่อแบรนด์เนม และพร้อมที่จะพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งมั่นใจว่าตอนนี้บริษัทฯ เราคือคือที่ 1 ในตลาดสินเชื่อแบรนด์เนมในไทย 

“เราตั้งเป้าว่าทั้ง 2 แบรนด์ที่กล่าวมาจะมียอดจากการทำสัญญารวมกัน 400 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทเรามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 18-20% จากนี้มีแพลนที่จะขยายไปยังต่างประเทศแน่นอน และมีแผนที่นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปี หรือในปี 2569 ด้วย” น.ส.เสาสนีย์ กล่าว