BDMS เผยคนไทย 48.35% น้ำหนักเกิน คุมอาหาร-ออกกำลังทำยาก จะลดน้ำหนักต้องรู้จักตัวเอง

โรคอ้วน
ภาพจาก Pexels ใช้เพื่อประกอบเท่านั้น

บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก เผย จำนวนผู้ใหญ่ที่มีปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนในไทยอยู่ที่ 48.35% การคุมอาหารและออกกำลังกายทำได้ยากต้องมีวินัยสูง แนะก่อนลดน้ำหนักต้องรู้สาเหตุและเข้าใจร่างกายตัวเอง ทำให้แต่ละคนมีวิธีลดที่แตกต่างกัน

วันที่ 6 มีนาคม 2567 จากข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย รายงานจำนวนผู้ใหญ่ที่มีปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนใน พ.ศ. 2566 อยู่ที่ 48.35% จาก พ.ศ. 2565 อยู่ที่ 47.8% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 34.7% ใน พ.ศ. 2559 และ 26.7% ใน พ.ศ. 2553 โดยภาวะโรคอ้วนดังกล่าวพบในกรุงเทพมหานครมากกว่าต่างจังหวัด

นอกจากนี้ ข้อมูลในปี พ.ศ. 2563 จากสหพันธ์โรคอ้วน (World Obesity Federation) ยังพบว่าผู้คนราว 1 พันล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 7 คน กำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วน ซึ่งสอดคล้องกับรายงาน World Health Statistics 2023 ขององค์การอนามัยโลก ที่รายงานว่า มีผู้ใหญ่ 1.9 พันล้านคน หรือคิดเป็น 39% มีปัญหาน้ำหนักเกินและอ้วน

“แพทย์หญิงจิรา ถาวรประดิษฐ์” ผู้อำนวยการคลินิกรอยัลไลฟ์ เวลเนส กรุงเทพ กล่าวว่า สถิติของการเป็นโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น โดยน้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทางสาธารณสุขตามลำดับ ตลอดจนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาโรคอ้วน ซึ่งทั่วโลกต่างตระหนักดีว่าหากไม่ทำอะไรเลย ตัวเลขของผู้ที่เป็นโรคอ้วนในผู้ใหญ่และเด็กจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ภาวะโรคอ้วนที่เกิดขึ้นนอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บในตัวเองแล้ว ยังเป็นสาเหตุและเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ ด้วย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ นอนไม่หลับ โรคกระดูกและข้อ อ่อนเพลียเรื้อรัง หรือโรคมะเร็งต่าง ๆ ที่กำลังมีเพิ่มมากขึ้นในประชากรไทย

“ดังนั้น ภาวะโรคอ้วนในปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ด้านสาธารณสุขให้ความสำคัญในการป้องกันการเกิดโรค เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาว การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคอ้วนและผลกระทบต่อประชากรไทยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนากลยุทธ์การป้องกันและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ”

BDMS

เข้าใจสาเหตุ ก่อนรู้วิธีลดน้ำหนัก

“แพทย์หญิงพิชชาพร ธนาพงศธร” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลีนิค และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า หลายคนคงเคยไปคลินิก Weight Management ในโรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งแพทย์มักจะบอกว่าให้กินอาหารดี ๆ และออกกำลังกาย แต่ปัจจุบันบีดีเอ็มเอส ในฐานะเวลเนส ค้นพบว่า คนกลุ่มนี้ก็ยังกลับมาที่คลินิกเดิมซ้ำ ๆ ด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างไม่ต่างจากเดิม เพราะไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมน้ำหนัก

เทคโนโลยีและองค์ความรู้ของเวลเนสในปัจจุบัน สามารถพาคนไทยไปถึงจุดที่เรียกว่า “การลดน้ำหนักครั้งสุดท้าย” ได้ ซึ่งก่อนจะรู้วิธีลดน้ำหนัก ต้องเข้าใจก่อนว่าคนที่มีปัญหาเรื่องการลดน้ำหนักมีสาเหตุจากอะไร

ประเด็นแรก คือ “สุ่ม” เวลาคนเราบอกว่าจะลดน้ำหนัก มักเริ่มจากวันนี้กินสลัด พรุ่งนี้ไปวิ่ง แล้วรู้ได้อย่างไรว่าวิธีดังกล่าวถูกต้องสำหรับร่างกายแต่ละคน บางคนไปเล่นพิลาทิสก็ลดได้ หรือบางคนเน้นการกินโปรตีนก็สามารถลดได้ แต่ละคนจึงมีวิธีที่เหมาะสมสำหรับตัวเองแตกต่างกันไป

ประเด็นที่สอง คนส่วนมากยังเข้าใจว่าการลดน้ำหนักมีแค่ 2 วิธีหลัก คือ “กินให้น้อย-ออกกำลังกายให้เยอะ” ซึ่งทำยากมาก ต้องอาศัยทั้งความตั้งใจและวินัยที่สูง หรือหากทำได้แล้วก็ทำได้ไม่นาน ไม่ใช่ว่าวิธีนี้ไม่ดี แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีและการศึกษาต่าง ๆ ทำให้มีวิธีอื่นที่สามารถนำมาเป็นตัวช่วยได้

ประเด็นที่สาม หลายคนเมื่อออกกำลังกายหรือลดอาหารหนัก ๆ จะทำให้ Metabolism (การเผาผลาญ) เสียไป หรือการรับประทานอาหารเสริมที่จำกัดการดูดซึมและไปเร่งการเผาผลาญมาก ๆ สุดท้ายเมื่อหยุดกิจกรรมดังกล่าวก็จะเกิดอาการโยโย่ (Yo-Yo Effect) เนื่องจากร่างกายเผาผลาญเองไม่ได้

ประเด็นที่สี่ คือ ไม่เคยมีใครมาโค้ชหรือมาให้กำลังใจคนที่กำลังลดน้ำหนัก เมื่อไปได้ครึ่งทางแล้วไม่รู้สึกว่าได้รับรางวัลอะไรก็มักจะไม่ไปต่อ

“เหล่านี้คือสิ่งที่เป็นวัฏจักรของการลดน้ำหนัก แต่บีดีเอ็มเอส พบว่า ทั้งทีมแพทย์ นักกำหนดอาหาร และเทรนเนอร์ ต่างทำให้มีตัวเลือกที่สามารถนำมาช่วยให้การลดน้ำหนักยั่งยืนมากขึ้น เป็นการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่การลดน้ำหนักเพื่อให้น้ำหนักลงอย่างเดียว”

BDMS
แพทย์หญิงพิชชาพร ธนาพงศธร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลีนิค และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ

ควบคุมน้ำหนัก เข้าใจร่างกายตัวเอง

แพทย์หญิงพิชชาพร กล่าวอีกว่า ด้วยการตรวจเชิงเวลเนสสามารถรู้ได้เลยว่าแต่ละบุคคลเหมาะกับการลดน้ำหนักด้วยวิธีใด หรือสาเหตุที่อ้วนเป็นเพราะไขมันจากส่วนไหน ท้อง แขนขา หรือเส้นเลือด หรือจริง ๆ มีกล้ามเนื้อที่เหมาะสมอยู่แล้ว แค่ไปเพิ่มการออกกำลังกายบางอย่างเท่านั้นเอง

ส่วนการอดอาหารและออกกำลังกาย บีดีเอ็มเอส ในฐานะเวลเนสค่อนข้างที่จะเข้าใจไลฟ์สไตล์แต่ละคน เพราะทีมแพทย์จะถามถึงการกินอยู่ วิถีชีวิต ถ้าคนนี้ทำงานหนักเช้ายันเย็น การออกกำลังกายควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่บอกว่าออกกำลังกาย เนื่องจากทุกคนไม่ได้มีเวลาในชีวิตเหมือนกัน

สำหรับอาการโยโย่ ต้องเข้าใจเรื่องฮอร์โมนและความอยากอาหาร ต้องหาถึงต้นกำเนิดการอยากอาหาร หรือเริ่มต้นที่ระดับการเผาผลาญของร่างกายจะทำให้คนที่กำลังลดน้ำหนักไม่เสียสมดุล เมื่อระยะเวลานาน ๆ ไป ร่างกายจะสามารถปรับให้เข้าสู่การเผาผลาญที่คงที่ และรักษาระดับน้ำหนักไปได้ในระยะยาว

คนทั่วไปมักคิดว่า กินให้น้อย และเอาออกให้เยอะ กลับกันในมนุษย์คนหนึ่งเรื่องการกินอาหารไม่ได้มีแค่ปริมาณหรือชนิดอาหาร เรายังมีเรื่องความอยากอาหาร ซึ่งไม่ใช่ความผิดเพราะบางคนหิวจริง ๆ หรือมีความเครียดทำให้ต้องกิน ตลอดจนนอนดึกแล้วเกิดความอยากกิน ไม่ใช่ไม่มีวินัย แต่บางทีฮอร์โมนบางอย่างหลั่งออกมาและทำให้รู้สึกหิว ถ้าเข้าใจส่วนนี้ด้วยก็จะทำให้รู้สึกว่าการลดอาหารไม่ได้ยากอย่างที่คิด

อีกเรื่องที่ต้องใส่ใจคืออัตราการเผาผลาญของตัวเอง ซึ่งแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนอดอาหารและออกกำลังกายหนักแค่ไหนก็ไม่มีทางตัวเล็กอย่างที่ต้องการได้ เช่น คนน้ำหนัก 100 กิโลกรัม อาจจะไม่สามารถกลับมาหนัก 40 กิโลกรัมได้ เพราะอัตราการเผาผลาญไม่มีทางจะชัตดาวน์ร่างกายลงไปได้ขนาดนั้น

นอกจากนี้พันธุกรรมก็มีส่วน ถ้าเรารู้ไว้ก่อนว่าเรามีลักษณะการเผาผลาญที่เหมาะกับอาหารประเภทไหน ก็สามารถปรับการเผาผลาญให้ตรงกับ Genetic ของเราได้ เพื่อไกด์ให้เรากินได้ถูกต้อง เลือกวิธีการควบคุมน้ำหนักได้ถูกกับเรามากขึ้น

จุลินทรีย์ในลำไส้ ถ้าเราสามารถปกป้องดูแลลำไส้ได้ดี ทั้งการดูดซึม การย่อย แน่นอนว่าการเผาผลาญเราก็จะดีขึ้น ต้องเข้าใจการเผาผาญของตัวเองก่อนว่าเป็นเช่นไร แล้วทำให้ดีที่สุดบนพื้นฐานการเผาผลาญนั้น

“ทั้งหมดนี้ที่พูดมา ยังไม่เห็นต้องพาไปออกกำลังกายแบบมีวินัยเลย แต่พอเราปรับ จะสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืนมากขึ้น ถ้าเราเข้าใจตัวเอง นี่คือวิธีที่บีดีเอ็มเอส อยากบอกทุกคนว่าการลดน้ำหนักไม่ได้มีแค่กินน้อย ๆ และออกกำลังกาย”

อย่างไรก็ตาม แพทย์หญิงพิชชาพร ระบุว่า ในส่วนของการออกกำลังกาย แน่นอนว่าเป็นวิธีที่ดีและบีดีเอ็มเอส ยังสนับสนุนต่อไป นอกเหนือจากสุขภาพจะดีแล้วยังทำให้อายุยืนด้วย

ทั้งนี้ หลายคนอาจคิดว่าการเริ่มต้นดูแลน้ำหนักทำเฉพาะในคนอ้วน ด้วยความเป็นเวลเนส ไม่จำเป็นต้องให้ตัวเองไปถึงจุดนั้นแล้วต้องดูแล ใครที่เริ่มมีความกังวลเรื่องน้ำหนักหรือต้องการจะดูแลสุขภาพก็สามารถมาเช็กก่อนได้ว่าน้ำหนักที่เราห็นบนตาชั่งเป็นน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพเราจริง ๆ หรือเปล่า คนผอมที่มีไขมันเยอะก็จำเป็นต้องดูแลไขมันเช่นเดียวกัน

โรคอ้วนทำให้อายุสั้นลง 8.8 ปี

แพทย์หญิงจิรา กล่าวว่า ภาวะโรคอ้วนจะทำให้อายุสั้นลง 8.8 ปี ร่างกายของเราอยู่ได้เพราะอวัยวะเรามีการทำงาน สร้างฮอร์โมน อยู่ได้ด้วยสารอาหารต่าง ๆ ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แร่ธาตุ การรับประทานอาหารที่มีความเหมาะสมเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานได้ยืนยาวที่สุด

เมื่อใดที่เรารับพลังงานมากกว่าความต้องการของร่างกาย จะทำให้เกิดความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อใดที่กินเยอะ ตับก็ทำงานหนักขึ้น ร่างกายต้องเก็บพลังงานที่เกินไว้ในส่วนต่าง ๆ ทั้ง ตับ ไต หัวใจ พุง เป็นต้น

มากกว่าการที่อวัยวะเหล่านั้นทำงานเยอะขึ้น คือ เริ่มไปทำให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้น้อยลง ในที่สุดก็จะเกิดความเสื่อม และทำให้ความแก่มาหาเราเร็วขึ้น ซ้ำร้ายกว่านั้นหลอดเลือดอาจมีตะกรัน ส่งเลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง ก็ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น ไตเสื่อม โรคหัวใจ โรคสมอง

นอกจากนี้การรับสารอาหารเข้าสู่ร่างกายไม่บาลานซ์กัน เช่น การให้ปริมาณน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายเยอะ ก็จะส่งผลต่อภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้มีโอกาสเกิดโรคมะเร็งมากขึ้น

“เมื่อไรเริ่มมีภาวะที่สะสมไขมันเยอะเกินไป ที่เรียกว่า โรคอ้วน ก็แน่นอนว่าอวัยวะต่าง ๆ ก็จะเกิดความเสื่อมเร็วขึ้น มาสู่อายุขัยที่สั้นลง”

BDMS
แพทย์หญิงจิรา ถาวรประดิษฐ์” ผู้อำนวยการคลินิกรอยัลไลฟ์ เวลเนส กรุงเทพ

ยีน ไลฟ์สไตล์ สิ่งแวดล้อม

แพทย์หญิงจิรา กล่าวว่า ปัจจุบันกำลังมีการเก็บข้อมูลเรื่องยีนโรคอ้วนของคนไทย ซึ่งถ้าทำสำเร็จจะทำให้สามารถปรับเรื่องการกินอาหาร และการใช้ชีวิตให้แม่นยำมากขึ้น

ยีนเป็นตัวหนึ่งที่อาจส่งผลต่อการคุมน้ำหนัก แต่ปลายทางของโรคอ้วน เราต้องห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งน้ำหนักตัวที่เกินก็จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะในร่างกายเรา และเมื่อไรที่เราทราบว่าในครอบครัวมียีนโรคอ้วน จะทำอย่างไรให้ครอบครัวอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมมากขึ้น ทั้งการกินอาหาร การทำกิจกรรม และการโฟกัสน้ำหนัก โดยปัจจุบันเราพบว่า ยีน ไลฟ์สไตล์ และสิ่งแวดล้อม ทั้ง 3 ส่วนนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเรา

แพทย์หญิงพิชชาพร กล่าวเสริมว่า สมัยก่อนเมื่อเราตรวจยีนจะรู้สึกเหมือนว่าเจอข่าวร้ายล่วงหน้า เราไม่ได้อยากรู้ว่าเรามียีนเบาหวานอยู่ในตัวหรือเปล่า แต่ปัจจุบันยิ่งเรารู้ยิ่งทำให้เรามีวิธีการปรับให้เราไม่ต้องกลายเป็นโรคนั้นได้มากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่เราเป็นเบาหวาน เราเกิดมามียีนเบาหวาน แต่มนุษย์จะมีสิ่งที่คุมยีนอยู่ เรียกว่า Epigenetics (อีพีเจเนติกส์) ซึ่งจะเปิดก็ต่อเมื่อเราใช้ชีวิตไม่ดี เช่น การกิน การนอน หากเรารู้ว่าเรามียีนเบาหวานและหมั่นดูแลตัวเอง ยีนตัวนั้นก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตจึงมีผลต่อยีนอย่างมาก

การตรวจตั้งแต่ต้น นอกเหนือจากรู้ว่าเป็นหรือไม่เป็นแล้ว ข้อดีกว่านั้นคือมันจะบอกวิธีเบื้องต้น ว่าเราควรทำอย่างไร อาหารและการออกกำลังกายอะไรเหมาะกับเรา ยีนบอกได้ และพอที่จะไกด์เราได้

เน้นการดูแลน้ำหนักแบบองค์รวม

แพทย์หญิงพิชชาพร ยังกล่าวอีกว่า สำหรับ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก มุ่งเน้นการดูแลน้ำหนักแบบองค์รวม มากกว่าการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายแบบเดิม ๆ ที่มักจะไม่ประสบผลสำเร็จที่ยั่งยืนและส่งผลให้เกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์ โปรแกรมของคลินิกจึงได้รับการออกแบบมาเพื่อทำลายวงจรนี้โดยมุ่งเน้นไปที่ตัวบุคคลแบบโดยรวม

แนวทางของบีดีเอ็มเอส มีความครอบคลุม ผสมผสานตั้งแต่การวิจัยทางพันธุกรรม การวิเคราะห์ไมโครไบโอมในลำไส้ และการตรวจสุขภาพจิต เพื่อวางแผนควบคุมน้ำหนักแบบส่วนบุคคล โดยจะพิจารณาจากความอยากอาหารและอัตราการเผาผลาญของแต่ละบุคคล

เมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบทางพันธุกรรมและไลฟ์สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้รับบริการแต่ละราย เราจึงสามารถสร้างกลยุทธ์การจัดการน้ำหนักส่วนบุคคลที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นส่วนตัวได้

นอกจากนี้ สุขภาพจิตถือเป็นองค์ประกอบที่ควรให้ความสำคัญ ในยามที่เราต้องการที่จะควบคุมน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพ แต่หลายคนอาจจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป

การมีสุขภาพจิตที่ดีถือเป็นรากฐานในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาเบื้องหลังพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย ถือเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกเส้นทางการจัดการน้ำหนักที่ประสบความสำเร็จ แพทย์หญิงพิชชาพร กล่าว

BDMS