กกร. เสนอฟื้น กรอ.กลาง แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แนะจัดกลุ่มแจกเงินดิจิทัลให้ตรงเป้า

สนั่น อังอุบลกุล
สนั่น อังอุบลกุล

กกร.ยังคงคาดการณ์จีดีพีไทยโต 2.5-3% การส่งออกหดตัว 2.0-0.5% พร้อมเสนอฟื้น กรอ.กลาง นายกฯ นั่งเป็นประธาน ขับเคลื่อนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แนะรัฐบาลจำกัดกลุ่มเป้าหมายการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ผันงบฯบางส่วนมาบริหารจัดการน้ำ รับมือเศรษฐกิจปี 2567

วันที่ 4 ตุลาคม 2566 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุม กกร.คงคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปี 2566 อยู่ที่ 2.5-3% การส่งออก หดตัว 2.0-0.5% ส่วนเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.7-2.2%

โดย กกร.ยังมองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ล่าสุด OECD ประเมินว่า GDP ของโลก จะเติบโตเพียงประมาณ 3.0% ในปี 2566 และเพียง 2.7% ในปี 2567 เศรษฐกิจของจีนยังมีปัญหา ส่งผลกระทบในภูมิภาคเอเชีย ปัจจัยต่าง ๆ ล้วนมีผลต่อการส่งออกไทยในช่วงที่เหลือ ปัญหาค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง

ส่วนมาตรการวีซ่าฟรีให้กับจีนและคาซัคสถาน ส่งผลดีให้ภาคท่องเที่ยว โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นราว 3.4 แสนคน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มแตะระดับ 29-30 ล้านคนในปีนี้

อย่างไรก็ดียังต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เอลนีโญ) ที่จะมีผลกระทบต่อภาคการเกษตร รวมถึงราคาพลังงานในตลาดโลกที่มีทิศทางสูงขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลต่อราคาพลังงานในประเทศหลังจากช่วงการลดราคาตามนโยบายของรัฐสิ้นสุดลง การบริหารจัดการน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญ รัฐควรจัดสรรงบประมาณในการจัดการทั้งระยะสั้นและเร่งด่วน

โดยเห็นว่าสามารถบริหารจัดการงบประมาณบางส่วนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่มีวงเงิน 5.6 แสนล้านบาท เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ไม่หยุดชะงักและเป็นไปตามเป้หมาย

ADVERTISMENT

“กกร.เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายที่แจกเงินดิจิทัลที่รัฐบาลมองไว้ 56 ล้านคนนั้นควรจะจำกัดการสนับสนุน ควรมองกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ เช่น คนที่เคยได้รับสวัสดิการของรัฐในแอปพลิเคชั่นเป๋าตังราว 40 ล้านราย รัฐควรมองข้อมูลเชิงลึกจากจุดนี้ เมื่อเราจำกัดการช่วยเหลือก็จะทำให้เหลือวงเงินในการที่จะนำไปใช้พัฒนาบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น เพราะปีนี้น้ำใช้ได้จริง ณ ต.ค. 66 อยู่ที่ 54% ซึ่งต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปี’65 ที่อยู่ 66% หากเกิดแล้งต่อเนื่องน้ำต้นทุนจะเหลือน้อยโดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ต้องเร่งบริหารจัดการ” นายสนั่นกล่าว

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า กกร.เห็นว่ารัฐบาลเคยทำนโยบายรัฐสวัสดิการแห่งรัฐก็จะมีรายชื่ออยู่ในระบบอยู่แล้วราว 40 ล้านคน กกร.ก็เห็นว่าเงินดิจิทัลหมื่นบาทควรประหยัดงบฯส่วนนี้ได้แทนที่จะแจกทั้งหมดแล้วนำไปจัดการน้ำและมองว่าประโยชน์สูงสุดก็คือต้องเน้นการซื้อที่ดูเรื่องการใช้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นสำคัญ

ADVERTISMENT

นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กกร.มีความกังวลถึงการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วันที่เห็นว่าไม่ได้มองพื้นฐานด้านเศรษฐกิจโดยควรให้ทางคณะกรรมการค่าจ้างกลางหรือไตรภาคีเป็นฝ่ายพิจารณาตามกฎหมายที่กำหนดเพราะแม้แต่จังหวัดก็มีบางอำเภอที่มีความสามารถในการจ่ายเท่านั้นและการขึ้นในอัตราดังกล่าวถือว่าสูงมากเอสเอ็มอีมีกำไรไม่มากหากต้นทุนเพิ่มก็จะยิ่งเดือดร้อน

กกร. เสนอฟื้น กรอ.กลาง

ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร.ยังจะได้จัดเตรียมข้อเสนอทางเศรษฐกิจไปยังรัฐบาลชุดใหม่ และขอให้มีการรื้อฟื้นการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.กลาง) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยเสนอให้รัฐบาลจัดประชุมทุก ๆ 3 เดือน เพื่อเป็นเวทีนำเสนอความเห็นและแนวทางการขับเคลื่อนระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน (Regulatory Guillotine) โดยจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้มีผลสัมฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ กกร. ยังมีการหารือในประเด็นสำคัญเพิ่มเติม ได้แก่

1.การช่วยเหลือ SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อมีความจำเป็นมากกว่าการพักชำระหนี้ เนื่องจาก SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยังฟื้นตัวได้ช้าและยังเข้าถึงสินเชื่อได้ไม่เต็มที่ เห็นได้จากยอดสินเชื่อ SMEs ที่ยังหดตัว และการสำรวจความเห็นของ SMEs โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่พบว่าต้องการเข้าถึงสินเชื่อมากกว่าการพักชำระหนี้ โดยควรสนับสนุนผลักดันให้กิจการของ SMEs สามารถมีความพร้อมรองรับโอกาสจากเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ High Season ของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของรัฐบาลด้วยเม็ดเงินถึง 5.6 แสนล้านบาท ในช่วงต้นปีหน้า

โดยที่ประชุม กกร.เสนอให้รัฐบาลใช้กลไกของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายการค้ำประกันสินเชื่อให้ SMEs เพิ่มอัตราการค้ำประกันจาก 30% เป็น 50-60% โดยบูรณาการการใช้กองทุนของ สสว. เป็นองค์รวม ช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs

2.ที่ประชุม กกร. สนับสนุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.6 แสนล้านบาท แต่เสนอว่า ควรจำกัดเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ และจำกัดพื้นที่ในการใช้งาน เพื่อก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจทวีคูณ (Multiplier) มากกว่า โดยสนับสนุนการใช้จ่ายสินค้าที่ผลิตในประเทศ (Local Content) หากสามารถควบคุมวงเงินให้เหมาะสมจะมีวงเงินไปลงทุนเรื่องการบริหารจัดการน้ำด้วยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าไม่หยุดชะงักและเป็นไปตามเป้าหมาย มุ่งเน้นให้การเติบโตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

3.การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศควรใช้กลไกของคณะกรรมการไตรภาคีเป็นผู้กำหนดแนวทาง เพื่อให้เป็นไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละจังหวัด เนื่องจากบริบทและศักยภาพของแต่ละจังหวัดแตกต่างกัน ซึ่งการปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน (มาตรา 87 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ซึ่งได้กำหนดปัจจัยในการพิจารณาการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ อาทิ เงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิต ฯลฯ)

4.ผลักดันการเจรจาข้อตกลงทางการค้า FTA ระหว่างไทยกับต่างประเทศให้มากที่สุด โดยเร่งผลักดันการเจรจา FTA ที่ดำเนินการอยู่ให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา ทั้งไทย-EU, ไทย-ศรีลังกา, ไทย-EFTA และเปิดการเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี FTA ในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ ๆ และเปิดการเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี FTA ในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ ๆ

เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ และละตินอเมริกา ตลอดจน FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการจัดตั้งกองทุน FTA เพื่อส่งเสริมและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

5.ที่ประชุม กกร. เห็นควรให้รัฐบาลสนับสนุนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC เพื่อดึงดูดการลงทุนต่อเนื่อง โดยมีประเด็นสำคัญที่จะต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง ตามร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนา EEC ระยะที่ 2 บริบทการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อ EEC การจัดกลุ่ม Cluster อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะ (2566-2570) ตาม 5 แนวทาง ประกอบด้วย

1) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต 2) เพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภค 3) ยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวัตกรรม 4) พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัยน่าอยู่อาศัยและเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ และ 5) เชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ความยั่งยืนของชุมชน โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC ให้มีความเพียงพอต่อการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมและเป็นการสร้างความมั่นใจถึงความพร้อมกับนักลงทุนต่างชาติ

6.เร่งรัดแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในปี 2566 ปริมาณน้ำใช้ได้จริง ณ เดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 54% ซึ่งต่ำกว่าระดับในช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่อยู่ที่ระดับ 66% หากภาวะเอลนีโญ่มีความรุนแรง ปริมาณฝนที่ตกจะยิ่งต่ำกว่าค่าปกติ จะส่งผลให้ปริมาณน้ำใช้การได้ยิ่งน้อยลงและทำให้ความเสียหายจากภัยแล้งทวีความรุนแรงและจะกระทบเป็นวงกว้าง

ดังนั้น ภาคเอกชน จึงขอให้รัฐบาลบูรณาการการดำเนินงานของกลไกภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สามารถจัดสรรน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะในพื้นที่เป้าหมายสำคัญ เช่น EEC และภาคตะวันออกเฉียงเหนือขอให้เร่งรัดพัฒนาแหล่งเก็บน้ำที่สำคัญ เพื่อกักเก็บสำรองให้กับพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด รวมทั้งจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC รวมถึงทบทวนแผนทรัพยากรน้ำ 20 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งน้ำใหม่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก

โดยสรุปภาคเอกชนเห็นพ้องว่าประเด็นการบริหารจัดการน้ำเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน รัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดสรรงบประมาณบริหารจัดการน้ำทั้งระยะสั้นและระยาว โดยอาจพิจารณาใช้งบประมาณบางส่วนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าไม่หยุดชะงักและเป็นไปตามเป้าหมาย

7.ผลักดันแนวทางการทำ Carbon credit ให้สามารถเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล และสามารถทำการค้ากับต่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะมีการกำหนดบทบาทของภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อม

โดยสภาหอการค้าฯ เน้นภาคการค้า เกษตรและบริการ สภาอุตสาหกรรมฯ เน้นภาคการผลิต และสมาคมธนาคารไทยจะเข้ามาสนับสนุนภาคการเงิน เพื่อให้เกิดรูปแบบที่ชัดเจนและสามารถขับเคลื่อนมาตรการ Carbon credit และสามารถแก้ปัญหามาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรปได้ตรงจุด ลดผลกระทบให้กับผู้ส่งออกไป EU