การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 (COP28) ระหว่าง 30 พ.ย.-12 ธ.ค. ในปีนี้
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ นายสรยุทธ ชาสมบัติ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ ในการประชุมระดับผู้นำ World Climate Action Summit ระหว่างวันที่ 1-2 ธันวาคม 2566 ณ เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมด้วย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พร้อมคณะเข้าร่วมการประชุม
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- บริษัทดัง ประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
- หุ้นกู้ออกใหม่ 12 บริษัทดัง เปิดขายเดือน พ.ค.นี้ ชูดอกเบี้ยสูงสุด 7.20%
โดยการประชุมระดับผู้นำ World Climate Action Summit มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
(1) Mohamed bin Zayed Al Nahyan ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เน้นย้ำพันธกรณีของ UAE ในการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2050 พร้อมกับการสมทบเงินทุน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนการลงทุนในพลังงานสะอาด
(2) UN Secretary-General Antonio Guterres เน้นย้ำความสำคัญของ global stocktake จะช่วยนำไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม
(3) King Charles III แห่งสหราชอาณาจักร เรียกร้องให้มีการผสมผสานระหว่าง public และ private finance เพื่อนำไปพัฒนากลไกทางเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ยั่งยืน และเกิดการไหลเวียนของเงินทุนที่มีประสิทธิภาพ
(4) ประธานาธิบดี Luiz Inacio Lula da Silva สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ในฐานะประธาน COP30 เน้นย้ำการลดช่องว่างของความไม่เท่าเทียมในการเจรจาพหุภาคี พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายประกาศลดการตัดไม้ทำลายป่าเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2030
พร้อมกันนี้ในการประชุมดังกล่าว ยังได้มีการจัดพิธีรับรองปฏิญญา Emirates Declaration on Sustainable Agriculture, Resilient Food Systems, and Climate Action ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 134 ภาคี ที่ให้การรับรองปฏิญญา เน้นย้ำความสำคัญของระบบอาหารและเกษตรกรรมที่มีต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อีกหนึ่งประเด็นที่ประชาคมโลกให้ความสนใจคือ การให้งบฯอุดหนุนกองทุนสำหรับการสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage Funding) โดย UAE สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของกองทุนดังกล่าวต่อไป