กกร. คาดจีดีพีไทยปี’67 โต 3.3% หวั่นเศรษฐกิจโลก-ค่าไฟ-หนี้นอกระบบฉุด

กกร.คาดจีดีพีไทยโต 3.3% ปี 2567 ได้ digital wallet หนุน หวั่นเศรษฐกิจโลกชะลอตัว-ค่าไฟ-หนี้นอกระบบฉุด เร่งรัฐบาลเจรจา FTA-รีสกิล-อัพสกิลแรงงาน

วันที่ 6 ธันวาคม 2566 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนธันวาคม 2566 ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย

คาดจีดีพีปี 2567 แตะ 3.3%

โดยเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.8-3.3% เนื่องจากได้ปัจจัยสนับสนุนจากนโยบาย digital wallet หากสามารถดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตของจีดีพีได้อย่างน้อย 1-1.5% รวมถึงปัจจัยบวกอื่น ๆ อาทิ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 33 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านคน จากปี 2566

แต่อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้น้อยกว่า 3% โดยเผชิญทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบจากการเริ่มใช้มาตรการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของ ธปท. ที่เน้นเรื่องวินัยการเงินและไม่สร้างหนี้เกินกำลัง รวมถึงการกลับมาจัดชั้นคุณภาพหนี้ตามปกติหลังยุค COVID-19

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายจากศักยภาพการเติบโตของประเทศที่ลดลง การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านเทคโนโลยี เพิ่มผลิตภาพของแรงงานเพื่อเผชิญกับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย และการก้าวสู่ low carbon society

ดึงหนี้นอกระบบเข้าระบบ

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เผยว่า ต้องเร่งแก้ปัญหาความเปราะบางในประเทศ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่พบว่าหนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 2.68% ในไตรมาส 1 ปี 2566 เป็น 2.79% ในไตรมาส 3 ปี 2566 จากทุกผลิตภัณฑ์และสินเชื่อรถยนต์ที่อยู่ใน stage 2 สูงราว 15%

นอกจากนี้ หนี้นอกระบบเป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากการมี informal economy ขนาดใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2566 มีประชาชนมาลงทะเบียนจำนวน 62,030 ราย รวมมูลหนี้ 2,793.29 ล้านบาท เป็นการเริ่มต้นที่ดีเพราะจะได้เห็นข้อมูลพื้นฐานของหนี้นอกระบบ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในการบังคับใช้กฎหมายโดยภาครัฐ และให้การดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง

อีกทั้งยังเห็นว่ากลไกถัดไปในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบต้องผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น รวมถึงการปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ด้วยการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนผ่านการลงทุนที่จะเข้ามาในอนาคตเพื่อเพิ่มการจ้างงานและรายได้

เร่งรัฐบาลจัด FTA-ดูแลค่าไฟ-พัฒนาแรงงาน

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปี 2567 มีหลายปัจจัยแปรผันที่กระทบต่อเศรษฐกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันเน้นไปที่การเร่งเจรจา FTA เพื่อดึงดูดการลงทุนในยุค Decoupling รวมถึงต้องดูแลต้นทุนราคาพลังงานให้สามารถแข่งขันราคาต้นทุนได้และกำหนดราคาอย่างมีเสถียรภาพ โดยให้ราคาอยู่ระหว่าง 2.70-3.30 บาทต่อหน่วย เพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย

ทั้งยังต้องสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน ทั้งการแก้ระบบและระเบียบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงความเปราะบางในประเทศ อาทิ หนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ และปัจจัยด้านต้นทุนให้เหมาะสม ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนและดึงดูดแรงงานต่างด้าวที่มีทักษะสูง

“ส่วนเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่วมหารือกับไตรภาคี และมีข้อสรุปว่า สามารถขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้เพื่อรองรับกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น เพียงแต่ต้องยึดหลักของไตรภาคี ซึ่งตอนนี้ก็ได้สรุปตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำที่จะขึ้นในแต่ละจังหวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นตัวเลขที่ทั้งนายจ้างรับได้และลูกจ้างอยู่ได้”

คาดเศรษฐกิจโลกปี 2567 ชะลอตัว

นอกจากนี้ กกร.ยังได้ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2567 ว่า มีแนวโน้มชะลอตัว สหรัฐ และยุโรปชะลอตัวจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน

ได้แก่ อาเซียน+5 อย่างเกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% รวมถึงตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มเติบโตระดับสูงที่ 3.4% และอินเดียที่ 6.3% ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และอาหาร

ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.8-3.3% เพิ่มจากปี 2566 ที่คาดว่าจะโต 2.5-3.0% เนื่องจากได้ปัจจัยสนับสนุนจากนโยบาย digital wallet หากสามารถดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตของจีดีพีได้อย่างน้อย 1-1.5% รวมถึงปัจจัยบวกอื่น ๆ อาทิ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 33 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านคน จากปี 2566 การส่งออกขยายตัว 2-3% จากปีนี้ที่คาดว่าจะติดลบ 2 ถึงลบ 1%