ม.หอการค้าไทย มองสวนทาง สศค. ชี้ เศรษฐกิจไทยโต 2.5 ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต 1.8%

ม.หอการค้าไทย

ธนวรรธน์ ช็อกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2566 โต 1.8% ต่ำกว่าศักยภาพ สะท้อนความเปราะบาง แต่ยังไม่เข้าขั้นวิกฤต ขณะที่หอการค้าไทยยังคงตัวเศรษฐกิจขยายตัว 2.5%

วันที่ 25 มกราคม 2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ของกระทรวงการคลัง เผยเศรษฐกิจปี 2566 จะโตที่ 1.8% ว่า

ขณะนี้หอการค้าไทยยังไม่มีการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ ยังอยู่ในกรอบ 2.5% แต่การที่คลังเปิดตัวเลขเศรษฐกิจครั้งนี้ ทำให้ตกใจว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะต่ำกว่า 2% แต่อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าเศรษฐกิจยังไม่วิกฤต แต่อยู่สถานะเปราะบาง

ทั้งนี้ ทำให้ต้องกลับมาดูว่าการปรับตัวเลขเศรษฐกิจของคลังครั้งนี้ เกิดจากอะไร โดยเมื่อดูในรายละเอียด ภาคการส่งออก การท่องเที่ยวมีการปรับตัวดีขึ้น แต่เมื่อสำรวจภาคเอกชนพบว่า ยังมองเศรษฐกิจนิ่ง ๆ ยอดขายไม่ดี เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของพฤติกรรมการซื้อ ประชาชนหันไปซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น เห็นได้จากการขนส่งดีลิเวอรี่มีการเติบโต

ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวดีขึ้นจาก 0.9% มาเป็น 2.8% สะท้อนถึงการบริโภคที่ไม่ได้ย่นย่อ การส่งออกจากติดลบ 1.8% ลดลงมาติดลบเพียง 1.5% เท่านั้น จึงเป็นสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะดีขึ้น เทียบเงินไหลเข้าออกสุทธิ ดุลการค้าก็ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะดุลบัญชีรวมการท่องเที่ยว เกินดุล ปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ มาเป็น 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หมายถึงเงินไหลเข้าสุทธิในระบบเศรษฐกิจไทย

“เศรษฐกิจไทยที่โตต่ำกว่า 2% ถือว่าช็อก เพราะไม่มีการคาดคิดมาก่อนว่าจะโตต่ำกว่า 2% ได้”

นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า การที่ประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจในปี 2566 ต่ำ ส่วนหนึ่งมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ จากเดิมติดลบ 3.4% ในเดือนตุลาคม มาเป็นติดลบ 3.6% ในเดือนธันวาคม สะท้อนถึงงบประมาณแผ่นดินไตรมาส 4/2566 ยังไม่ถูกเคลื่อนออกมาใช้มากนัก การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐที่ติดขัด ทำให้เงินซอร์ตในระบบเศรษฐกิจ และต้องไปดูด้วยว่าองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้เบิกจ่ายงบประมาณหรือไม่

การใช้จ่ายภาครัฐที่ตัวเลขต่ำกว่าคาด ทั้งการบริโภคและการลงทุน แต่ชี้ให้เห็นว่าไตรมาส 4 ที่มีการคาดหวังว่าหน่วยงานภาครัฐที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามแผน ทำให้เศรษฐกิจหลุด 2% ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม เพราะจะมีผลต่อการประเมินเศรษฐกิจในปี 2567

สำหรับปี 2567 คาดการณ์ว่าจะโตที่ 2.8% ไม่รวมดิจิทัลวอลเลต ต่ำกว่า 3% ทั้งที่งบประมาณแผ่นดินขาดดุลมากขึ้นเป็น 7 แสนล้านบาท จาก 6 แสนล้านบาท สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ เงินเฟ้อกลับมาอยู่ที่ 1% แม้ไม่ได้ผิดปกติจากคาดการณ์ไว้ และจุดนี้ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าเศรษฐกิจซบเซา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมเศรษฐกิจไทยปี 2567 เกิดอะไรขึ้นทำให้โตต่ำกว่า 3% ได้

โดยหากในเดือนพฤษภาคมนี้ รัฐบาลยืนยันทำดิจิทัลวอลเลต แต่อาจล่าช้าออกไปนั้น การมีโครงการใหม่ออกมา ทั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและรองรับหากล่าช้า มองว่าโมเมนตัมนี้มีความจำเป็นมากอย่างยิ่ง