“กัญชา” กำลังจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยในอีกไม่ช้า หากร่าง พ.ร.บ.กัญชา และกัญชง พ.ศ. … ผ่านความเห็นชอบจากสภา แต่คำถามคือ คนไทยพร้อมแล้วหรือยัง ในขณะที่กฎหมายดังกล่าวยังคงเป็นที่ถกเถียงกันถึงคำนิยาม เช่น ใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง เพื่อนันทนาการ เพื่อรักษาโรค หรือแค่การบรรเทาเท่านั้น เนื่องจากการทำวิจัยที่ผ่านมา ก็ยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่า กัญชานั้นมีประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน ซึ่งไม่ว่าจะออกมาในมุมไหนก็ตาม ล้วนแล้วต้องมีผู้ที่ได้ประโยชน์และผลกระทบ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 หากยังพอจำกันได้ งานมหกรรมกัญชาทางการแพทย์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ถูกจัดขึ้นภายใต้ชื่อ “พันธุ์บุรีรัมย์” ครั้งแรก แต่ผู้ร่วมงานมากกว่า 150,000 คน มีผู้มายื่นขอจดครอบครองกัญชา 12,753 ราย ผ่านเกณฑ์การขอจดครอบครองกัญชา จำนวน 4,397 ราย ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งในและสำนักข่าวต่างประเทศมากกว่า 200 คน ผู้ร่วมออกร้านในงาน 3,290 ราย ความสำเร็จของงานในวันนั้น เกิดจากแม่งาน ชื่อ “นางสาวชิดชนก ชิดชอบ” ประธานวิสาหกิจชุมชนพันธุ์บุรีรัมย์ และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีอาร์ เพาเวอร์ จำกัด (BR POWER) ผู้ริเริ่มและเป็นหัวเรือหลักสำคัญของงาน “พันธุ์บุรีรัมย์” ผ่านมาถึงวันนี้ เป็นอย่างไร
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์ “ชิดชนก” หลังจากร่วมสัมมนา “กัญชาไทย…จะไปทางไหน ?” ที่จัดโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ถึงสถานการณ์การส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชผลที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย หลังลงทุนตั้งโรงสกัดกัญชาขึ้นมาแห่งเดียวในบุรีรัมย์
ตั้งโรงสกัดน้ำมัน CBD
เมื่อปี 2014 (2557) เราก่อตั้งบริษัท บีอาร์ เพาเวอร์ ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมเกษตรกรในจังหวัดของบุรีรัมย์ โดยเฉพาะเรื่องของการปลูกพืชท้องถิ่น จนในที่สุดรัฐบาลก็ปลดล็อกกฎหมายและถอดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติดในปี 2565 นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เมื่อสังคมเปิดกว้างเราเริ่มทำหน้าที่สร้างความเข้าใจ ถึงการใช้ยาจากพืชธรรมชาติเหล่านี้ โดยเฉพาะประโยชน์ของ CBD (Cannabidiol) หรือสารสกัดประเภทหนึ่งที่ได้จากต้นกัญชา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “น้ำมันกัญชา” และเรายังมีหน้าที่พัฒนาสายพันธุ์ที่ปลูกให้มันเหมาะสมกับสภาพอากาศในเมืองร้อน เพราะไม่ใช่ว่าทุกสายพันธุ์จะปลูกได้หรือจะมีคุณภาพดีทั้งหมด
ในปี 2020 (2563) เราเริ่มก่อสร้างโรงสกัด CBD ขึ้นมา และเราเองได้เริ่มศึกษาเรื่องของกัญชา กัญชง ด้วยการทำวิจัยรวมถึงทดลองปลูกบนพื้นที่ 1 ไร่ เป็นรูปแบบของการทัศนศึกษา เมื่อปลายปี 2566 เราได้รับใบอนุญาตต่าง ๆ จากไร่ที่เราปลูกได้ผลผลิตไม่มากเพียง 80 กิโลกรัมเท่านั้น ในกระบวนการสกัดจะกำจัดสารประกอบอื่น ๆ ได้ความบริสุทธิ์เกิน 98% เพื่อให้ได้ CBD Isolates ที่เหมาะสำหรับใส่อาหาร รวมถึงเครื่องสำอาง
อย่างไรก็ตาม การสกัดยังคงเหลือ THC (Tetrahydrocannabinol) แต่ไม่เกิน 0.2% และนี่กลายเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ CBD จึงสามารถใช้เป็นยาเฉพาะทาง เพื่อบรรเทาอาการของผู้ป่วยในโรคบางประเภท นอกจากนี้เรายังมีแผนต่อยอดรองรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ CB
รับซื้อไร่ละ 2,500 บาท
ที่เราปลูกน้อยเพราะเป้าหมายของเรา คือ ต้องการส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ที่เป็นคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่งกับเรา โดยที่มีมาตรฐาน GAP ซึ่งเราจะลงไปช่วยวิสาหกิจชุมชน ตั้งแต่เรื่องของสายพันธุ์ อย่างพันธุ์นี้สกัดแล้วได้สารอะไร เหมาะกับใช้กับอะไร ช่วยเรื่องการปลูก เพราะเรื่องพืชชนิดนี้มีรายละเอียดที่ต้องดูแลอย่างประณีตไม่ห่างทุกวัน
“บีอาร์ เพาเวอร์ รับซื้อสูงสุด 2,500 บาท/กก. ตามเกรด แต่มีเงื่อนไขว่าต้องไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เรามีต้นทุนที่ต้องตรวจค่าสารปนเปื้อนต่าง ๆ เช่น พวกความชื้น เชื้อรา โลหะหนัก”
สังคมไทยยังไม่พร้อม
เราต้องยอมรับสิ่งหนึ่งว่าสังคมไทยยังไม่พร้อม ปรับตัวไม่ทัน เราประกาศใช้เรื่องของกัญชาเร็วเกินไป ทำให้เยาวชนเข้าถึงง่ายขึ้น ยังไม่มีแผนรองรับ แผนการควบคุม หรือแม้แต่ความรู้เรื่องประโยชน์และโทษที่ชัดเจน ปัจจุบันตลาด “กัญชา กัญชง” มีมูลค่า ไทยเราสามารถผลิตขายและส่งออกในต่างประเทศได้
แต่ปัญหาคือ เราจะควบคุมการใช้ได้อย่างไร ตัวแทนจากผู้เข้าร่วมสัมมนาในงานต่างให้ความเห็นกันในหลากหลายมุมมอง ทั้งประโยชน์ที่ว่าสร้างโอกาสในการรักษาโรคมะเร็ง ส่งออกไม่พอกับความต้องการของตลาด หรือแม้แต่โทษที่เกิดขึ้นกับเยาวชนในชุมชน ที่หันมาลองใช้สารจากกัญชาเพื่อนันทนาการ และนำไปสู่การใช้สารเสพติดประเภทอื่นตามมา
“ไทยควรปลดล็อกเพื่อการแพทย์เป็นสเตป โดยค่อย ๆ เพิ่มโรคที่กัญชาสามารถรักษาได้ ควบคู่กับผลวิจัยที่สอดคล้อง เพราะถึงจุดหนึ่งที่เราปลดตรงนี้ไปเรื่อย ๆ เส้นแบ่งแยกระหว่างการใช้เพื่อการแพทย์กับสันทนาการมันจะบางมากจนแยกไม่ออก และเมื่อนั้นถึงจะเหมาะสมเสนอฝ่ายนิติบัญญัติว่าประเทศไทยพร้อมสันทนาการหรือยัง”
มุมมองต่อข้อเสนอปรับกฎหมาย
“ความรู้เรื่องกัญชาของคนไทยยังน้อย คนเข้าใจผิดมาก ไปโฟกัสเรื่องโทษเกินไป บางคนก็อวยจนเกินไป สิ่งที่รัฐควรทำคือ บอกให้ชัดว่าสายพันธุ์ไหนที่ควรปลูก สารสกัดช่วยด้านไหน ค่าสารเท่าไรช่วยโรคอะไร เอกชนจะได้รู้ว่าตลาดเป็นอย่างไร ก็เหมือนแอลกอฮอล์ที่ดื่มได้ แต่ก็ต้องควบคุมบังคับใช้กฎหมายให้ได้”
การเสนอให้กฎหมายยกเลิกการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการ ในมุมมองเอกชนเห็นว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทาง เพราะต่อให้ไม่มีกัญชา ประชาชนก็สามารถใช้สารอย่างอื่นเพื่อนันทนาการได้เช่นกัน ดังนั้นการแก้ไขเรื่องนี้ อยู่ที่ความรู้ของคน นี่คือสิ่งสำคัญมากที่สุด