นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในการกล่าวปาฐกถาภายในงาน “เจาะลึกแผนพีดีพีทิศทางพลังงานไทยภายใต้รัฐบาลใหม่” จัดโดย ฐานเศรษฐกิจ ว่ากระทรวงมีนโยบายที่จะปรับทิศทางแผนกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี 2018) ใหม่ให้สามารถเข้าถึงชุมชนมากขึ้น และเป็นกลไกสำคัญที่จะสนับสนุนให้สามารถเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายประชาชนในระดับฐานราก โดยจะเปิดรวบรวมความคิดเห็นจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูว่าอะไรที่เหมือนและต่างกัน เพื่อนำมาเป็นข้อวิพากษ์ ปรับปรุงให้ตอบสนองทิศทางพลังงานในอนาคต ซึ่งไม่ใช่เป็นการรื้อและทำใหม่ แต่เป็นการปรับปรุงแผนพีดีพี 2018 ครั้งแรกเท่านั้น
ทั้งนี้ เนื่องจากแผนพีดีพี ไม่ใช่มิติการลงทุนของภาคเอกชนรายใหญ่อย่างเดียว ในอนาคตจะต้องมองถึงแนวทางที่จะส่งเสริมไปยังประชาชนระดับฐานรากของประเทศ โดยจะต้องใช้ศักยภาพของชุมชนมาเป็นประโยชน์ให้กับธุรกิจพลังงานมากที่สุด เนื่องจากเป็นกุญแจสำคัญที่จะไปยกระดับรายได้ของคนในชุมชน ซึ่งต้องมองในหลายมิติ อย่างเช่น อุปสรรค์ใดที่ทำให้ชุมชนเข้ามาสู่กลไกพลังงานได้ยาก จะต้องปลดล็อคให้เข้าสู่ระบบก่อน เช่นการส่งเสริมที่เข้าถึงในวงแคบเกินไป หรือการไม่เชื่อมโยงภายในชุมชน และทุกอย่างต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด พลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน รวมถึงด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Energy Storage กักเก็บพลังงาน ซึ่งอยู่ระหว่างหารือหน่วยงานเกี่ยวข้อง
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
“มิติการมองของผม ยิ่งเพราะผมไม่ใช่คนแวดวงพลังงาน คงไม่มองส่วนเดียว ซึ่งผมจะสั่งยกระดับพลังงานบนดินด้วย เร็วๆนี้จะทำ B7 B10 B20 เป็นแผนใหญ่เพื่อสร้างความมั่นคงของเกษตรกร เพื่อทุกคน ผมต้องการให้แผนนี้เป็นพลังงานของพี่น้องประชาชน SME มีโอกาสร่วมกันทุกภาคส่วน แผนจะต้องอยู่บนรอยต่อของความเปลี่ยนแปลง เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมากในยุคหลายปีที่ผ่านมา และจะเห็นได้ว่าแนวโน้มของโลก ด้านพลังงานทดแทนเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และจะเข้ามาทดแทนทิศทางพลังงานของของโลกในอนาคต”
โดยจากการกำหนดทิศทางพลังงานของสหประชาชาติ (UN) ได้กำหนดไว้ 2 เรื่องได้แก่ 1.ต้องเป็นพลังงานที่พี่น้องประชาชนแบกรับภาระได้ ทิศทางราคาต้องต่ำลง 2.จะต้องเป็นพลังงานสะอาด ไม่สร้างปัญหาให้สิ่งแวดล้อม และมันจะเชื่อมโยงไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกด้วย
นอกจากนี้ จะมีการปรับหลักเกณฑ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยในปีงบประมาณ 2563 มีกรอบวงเงินอยู่ 12,000 ล้านบาท โดยจะปรับให้มีแนวทางการพิจารณาโครงการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้เกิดโครงการที่เกิดผลประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง โดยจะมีการปรับเปลี่ยนวิธี เงื่อนไขและการติดตามประเมินผล สอดรับกับพลังงานชุมชนและกระจายไปยังระดับฐานรากให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านพลังงานรายใหม่ (Start up) เพื่อเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนพลังงานของประเทศ คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของแผนปรับปรุงค่าไฟ ภายใต้แผนพีดีพี 2018 มองว่าแผนนี้อาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างราคาจากเดิมที่อยู่ในระดับราคา 3.58 บาทต่อหน่วย มองว่าราคาไฟฟ้ายังสามารถปรับให้ถูกลงได้อีก ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในแผนพลังงานไฟฟ้าราคาถูก สำหรับคน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า คือต้องสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้ได้รับสิทธิ์ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงกว่าชุมชนอื่น ซึ่งอาจจะต้องบรรจุอยู่ภายใต้แผนพัฒนากองทุนไฟฟ้า และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเดือนต.ค.นี้
“โรงไฟฟ้าชุมชนหลักการเราจะเน้นพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล ไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวภาพ รวมถึงไฟฟ้าจากขยะที่จะต้องหารือกับมหาดไทยในส่วนนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมกันนี้ได้มอบให้ไปดูพื้นที่ว่าสายส่งที่ใดจะรับซื้อไฟฟ้าจากชุมชนเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงไฟฟ้าได้ทันทีเมื่อมีความชัดเจนก็จะทราบถึงพื้นที่แน่ชัดไม่ต้องไปวิ่งเต้นขอผลิตไฟ ส่วนความเห็นตั้งโรงงานภาคตะวันออกนั้น หากลงนามไปแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป”
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในการปรับแผนพีดีพี ต้องยกระดับให้ไทยเป็นเทรดเดอร์พลังงานไฟฟ้าอาเซียน หรือเป็นศูนย์กลางด้านพลังงาน เพราะนอกจากจะมีผู้ซื้อและผู้ขายที่ชัดเจนแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการลงทุนด้านพลังงานได้เร็วยิ่งขึ้น