เคาะลดพื้นที่ปลูกข้าวปี 64/65 เหลือ 66 ล้านไร่ หนุนปลูกแค่ 5 พันธุ์ตามตลาด

ชาวนาไทย
(Photo by Romeo GACAD / AFP)

เกษตรฯปักหมุดเตรียมเน้นผลิตข้าว 5 ประเภท ให้สอดคล้องกับตลาด ตั้งเป้าพื้นที่ผลิต 66 ล้านไร่ พร้อมถกการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการเพาะปลูก จากปัญหาฝนทิ้งช่วง

วันที่ 8 มิถุนายน 2564 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิตว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาถึงเป้าหมายการผลิตข้าว การวางแผนการข้าว และพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/2565

ประภัตร โพธสุธน

โดยมีสาระสำคัญ คือ เห็นควรให้มีการแบ่งประเภทข้าวเพื่อให้การเพาะปลูกมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ได้ผลผลิตในแต่ละชนิดข้าวที่มีความสอดคล้องทั้งในส่วนของ Demand และ Supply โดยจะแบ่งเป็น 5 ชนิดข้าว

ประกอบด้วย 1) ข้าวหอมมะลิ 2) ข้าวหอมไทย 3) ข้าวเจ้า ซึ่งจำแนกเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่มและข้าวเจ้าพื้นแข็ง 4) ข้าวเหนียว 5) ข้าวตลาดเฉพาะ ทั้งนี้ พื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าวปีการผลิต 2564/2565 นั้น ได้กำหนดไว้ทั้งสิ้น 66 ล้านไร่ โดยปรับลดพื้นที่ปลูกลงจากปีการผลิต 2563/2564 ประมาณ 3 ล้านไร่

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาถึงเป้าหมายการผลิตข้าว การวางแผนการผลิตข้าว และพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/2565 โดยมีสาระสำคัญ คือ ปริมาณน้ำสำหรับการเพาะปลูกข้าวในปีการผลิต 2564/2565 (ฤดูนาปี) อยู่ในเกณฑ์น้อย ภาพรวมปริมาณน้ำที่ใช้การจากอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก ขณะนี้มีจำนวน 11,121 ล้านลูกบาศก์เมตร

แต่ในขณะเดียวกันกลับมีความต้องการใช้อยู่ที่ 32,339 ล้านลูกบาศก์เมตร ประกอบกับน้ำใน 4 เขื่อนหลักมีปริมาณน้ำใช้การเหลือเพียง 1,457 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งในส่วนของกรมอุตุนิยมวิทยาประเมินว่ามีปริมาณฝนน้อย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำเพื่อการอุปโภค/บริโภค และจะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม

ดังนั้นหน่วยงานชลประทานในพื้นที่จะต้องมีแผนบริหารจัดการน้ำ โดยจัดส่งน้ำเป็นรอบเวรเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ และต้องมีแผนจัดสรรน้ำเพื่อประคองปริมาณน้ำที่มีอยู่จนถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ดังนั้นนอกจากการจัดรอบเวร เพื่อจัดสรรน้ำให้แก่เกษตรกรแล้ว อีกส่วนหนึ่งจะต้องขอความร่วมมือเกษตรกรหากจะเพาะปลูกให้พิจารณาใช้น้ำฝนเป็นหลัก ซึ่งจากการคาดการณ์ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป น่าจะสามารถเพาะปลูกได้โดยไม่มีผลเสียหาย