“อินโนบิก” ปักหมุด “อยุธยา” ตั้งโรงงานผลิตแพลนต์เบส 3 พันตัน พร้อมเปิดแฟลกชิปสโตร์เดือน มี.ค.นี้ เดินหน้าสู่เป้าหมายปั๊มกำไร EBITDA ธุรกิจใหม่ให้ได้ 30% ใน 10 ปี พร้อมผนึกพันธมิตรลุยไลน์ life science เตรียมปิดดีล เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น บ.ยาไต้หวัน “Lotus Pharmaceutical” ในไตรมาส 1
นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2565 บริษัทมุ่งในธุรกิจอาหารเพื่อโภชนการและโภชนเภสัช (เมดิคอลฟู้ดส์) ทั้งอาหารอนาคตและอาหารผู้ป่วย แบบ UHT เพราะไทยมีศักยภาพ และสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริม BCG
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส ไทย และหลายชาติ ออกแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องปล่อยตัวประกันในกาซา
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
โดยในส่วนของธุรกิจอาหารอนาคตนั้น หลังจากที่บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟโปรตีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างอินโนบิก และบริษัท โนฟฟู้ดส์ จำกัด ได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท แพลนท์ แอนด์ บีน ประเทศอังกฤษ เพื่อผลิตโปรตีนจากพืช (plant based) เมื่อเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ล่าสุดทางบริษัทได้พิจารณาเลือกตั้งโรงงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมใน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยอยู่ระหว่างออกแบบการก่อสร้างโรงงานขนาด 3,000 ตันต่อปี และเตรียมจะเปิดแฟลกชิปสโตร์ภายในเดือนมีนาคมนี้ และจะเริ่มก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถพัฒนาสินค้าออกมาในไตรมาส 1-ไตรมาส 2 ปีหน้า
“เดิมบริษัทที่เราร่วมลงทุนคือโนฟฟู้ดผลิตวัตถุดิบแพลนต์เบส แต่สำหรับโรงงานใหม่เราวางว่าจะมีการจัดทำ cooking class ด้วย เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถนำสินค้านี้ไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารได้ สำหรับสินค้าลอตแรกจะทดลองผลิตออกมาเป็นลอตเล็ก ๆ ก่อนในปีนี้ เบื้องต้นจะใช้วัตถุดิบซึ่งเป็นเพลสจากถั่วเหลืองที่มาแล้วมาใช้ แต่จริง ๆ เราพยายามจะหาวัตถุดิบในประเทศด้วย เช่น ถั่วเขียวและพืชอื่น ๆ แต่ถั่วเหลืองก็ยังเป็นวัตถุดิบหลัก เพราะมีโปรตีนสูงและราคาก็ไม่สูงมาก แต่หากในอนาคตสามารถพัฒนาเนื้อสัมผัสถั่วเขียวได้อาจจะมีการผสมผสาน”
สาเหตุที่มุ่งขยายธุรกิจอาหารซึ่งเป็น 1 ใน 4 กลุ่มธุรกิจเป้าหมายของอินโนบิก (ยา, อาหารอนาคต, วัสดุและอุปกรณ์การแพทย์ และระบบวินิจฉัยโรค) ก่อน เพราะมองว่าตลาดแพลนต์เบสมีการขยายตัวสูงปีละ 10-15% และปัจจุบันผู้บริโภคสินค้านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มมังสวิรัติ (วีแกนส์) แต่มีผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่มีความยืดหยุ่นบริโภคอาหารสุขภาพสลับ ๆ กับเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดนี้เติบโตขึ้น จากเดิมกลุ่มวีแกนส์มีแค่ 10%
อย่างไรก็ตาม อินโนบิกยังมีการผลักดันธุรกิจยา ซึ่งในไตรมาส 1 ปี 2565 นี้ จะบรรลุเป้าหมายการขยายสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท Lotus Pharmaceutical จำกัด ผู้ผลิตยาสามัญในไต้หวัน ที่ไปซื้อกิจการมา 6.6% และได้เพิ่มมาอีกกว่า 30% รวมเป็น 37% ด้วยงบฯลงทุน 475 ล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ พ.ย. 2564
“ดีลบริษัทยา เราไปยื่นไฟลิ่งในแต่ละประเทศ ประมาณไตรมาส 1 ปีนี้จะจบ แล้วเราจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท โลตัสฟาร์มาฯ ประมาณ 37% ซึ่งบริษัทนี้เป็นผู้ผลิตบริษัทยาสามัญ (generic) ส่วนใหญ่จะเป็นยาโรคมะเร็ง และระบบประสาท เป็นยาพิเศษ (specialty) โดยเขาขยายไปลงทุนในเอเชีย ในญี่ปุ่นเกาหลี อินเดีย และอเมริกาบางส่วน สำหรับแผนการผลิตกับบริษัทโลตัสจะเป็นยาคนละตัวกับที่อินโนบิกทำความร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) แต่ธุรกิจนี้สามารถส่งเสริมกันได้ เพราะบริษัทโลตัสฯมีโรงงานยาชีววัตถุอยู่ที่ไอซ์แลนด์ซึ่งทางเราพยายามผลักดันกันอยู่ว่า ที่คุยกันอยู่หากเราสามารถพัฒนายาตัวนี้ได้ในราคาที่ถูกลง เพราะยาชีววัตถุก็เป็นเป้าหมายเหมือนกัน เป็นยาที่คนไข้จะรู้สึกปลอดภัย แต่มันยากเพราะเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต ซึ่งมันปรับไม่ได้เหมือนยาเคมี”
ส่วนธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ทางบริษัทได้เริ่มนำเข้า ATK บางส่วน แต่อยู่ระหว่างพัฒนาเครื่องมือแพทย์อื่น ๆ ซึ่งถุงมือยางก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่อยู่ในไปป์ไลน์ โดยเริ่มติดต่อโรงงานในประเทศ
นายบุรณินกล่าวอีกว่า ปตท.มีแผนผลักดันและสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่มาตั้งแต่ปีก่อน ไม่ใช่เพราะโอมิครอนเพราะเรื่องสุขภาพเป็นเทรนด์จากเมื่อก่อนเรื่องนี้เป็นแค่โอกาส (ออปเพอร์ทูนิตี้) ในสิ่งที่จำเป็น ถ้าไม่ทำแล้ววิกฤตเกิดขึ้น บางอย่างที่อยากจะนำเข้าก็นำเข้าไม่ได้ในช่วงวิกฤต หลาย ๆ ครั้งที่เรานำเข้ายาฟาวิพิราเวียร์ เรมเดซิเวียร์ หรือ ATK มา ในภาวะปกตินำเข้าถูกกว่า แต่ในภาวะวิกฤตซื้อมาก็ยังไม่ได้ และในงานวิจัยทางการแพทย์ทั้งหลายที่มีอยู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับห้องปฏิบัติการ การจะพัฒนาไปสู่เชิงพาณิชย์ยากมาก ฉะนั้นการที่เราไปลงทุนกับบริษัทยาต่างประเทศ เราก็หวังว่าจะนำตรงนี้มาต่อจิ๊กซอว์ระหว่างในประเทศและต่างประเทศ
“การสร้างอีโคซิสเต็มในธุรกิจใหม่ใช้เวลาพอสมควร ถ้าเราไม่เริ่ม ถึงเวลาจุดนั้นประเทศไทยก็จะลำบาก และความโชคดี บางอย่างเริ่มจากศูนย์ไม่ได้ แต่พอ ปตท.มาทำ ตรงนี้เรามีพันธมิตรที่ดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น องค์การเภสัชกรรม บริษัทยาต่างประเทศ ยาในประเทศ หรืออุปกรณ์การแพทย์ และดีที่สินค้าบางชนิดใช้บายโปรดักต์จากปิโตรเคมีที่มีอยู่ เป้าหมายเราอยากได้กำไร EBITDA จากธุรกิจใหม่ 30% ใน 10 ปี นับจากปี 2565-2575 ซึ่งนั่นหมายถึงจากนี้ต้องโตกระโดด”