สรท. มั่นใจ Q1 ปี’65 ไทยส่งออกโต 5% พลังงาน-แรงงาน-โอมิครอนยังกระทบ

ส่งออก

สรท. มั่นใจส่งออกไทยในไตรมาสแรกโต 5% แต่ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงกระทบการส่งออก ราคาพลังงาน ขาดแรงงาน ปัญหา โอมิครอน ขณะที่ส่งออกทั้งปี’65 โต 5-8%

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท. คาดการณ์ส่งออกไทยในไตรมาสแรกปี 2565 โตต่อเนื่อง 5% และคงคาดการณ์ส่งออกไทยทั้งปี 2565 เติบโตระหว่าง 5-8% โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก คือ 1) ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง ส่วนหนึ่งจากผลกระทบจากข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินน้ำมันในยุโรปและของโลกเพิ่มสูงขึ้น

ชัยชาญ เจริญสุข

ขณะที่สหภาพยุโรปอาจขาดแคลนพลังงานเนื่องจากยุโรปนำเข้าก๊าซจากรัสเซีย 25-50% กรณีดังกล่าวส่งผลให้หมวดหมู่สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีมูลค่าสูงขึ้น ในทางกลับกันส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเกือบทุกประเภทรวมถึงต้นทุนการขนส่งที่ต้องปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกราคาพลังงานในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัวทั่วโลก

2) แรงงานในภาคการผลิตขาดแคลนต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนการจ้างงานปรับตัวสูงขึ้น กระทบการผลิตเพื่อการส่งออกที่กำลังฟื้นตัว 3) ปัญหาความหนาแน่นภายในท่าเรือประเทศปลายทาง ทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานในการขนถ่ายสินค้า รวมถึงปัญหา Space allocation ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถจองระวาง ตลอดจนค่าระวางเรือยังคงทรงตัวในระดับสูง 4) ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์, เหล็ก, น้ำมัน ส่งผลให้ภาคการผลิตเพื่อส่งออก ยังคงประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

5) สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 “โอมิครอน” หลายประเทศมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามและเข็มที่สี่ต่อเนื่อง และเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการสำหรับการเดินทางเข้าประเทศ อาทิ นิวซีแลนด์ (เฉพาะผู้ที่เดินทางในประเทศและมาจากออสเตรเลีย) ขณะที่นอร์เวย์ เดนมาร์ก ยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ดียังคงต้องติดตามและประเมินสถานการณ์ไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ

Advertisment

ข้อเสนอแนะของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย 1.ด้านการตลาด (Marketing) มีแนวทางที่สำคัญประกอบด้วย 1.1) ขอให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเร่งกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อยกระดับ/กระตุ้นให้เกิด Trade activity ในลักษณะ Exhibition / Business matching ระหว่างกันให้มากขึ้น อาทิ จัดกิจกรรมเยือนซาอุดีอาระเบีย และประเทศเป้าหมายสำคัญ 1.2) เร่งผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง RCEP พร้อมกับเพิ่มกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในประเทศคู่เจรจาให้มากขึ้น

2.ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) มีแนวทางที่สำคัญประกอบด้วย 2.1) เร่งยกระดับการใช้ระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าเต็มรูปแบบ เช่น National Single Window ให้เป็น Single Submission 2.2) เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวก และช่วยลดต้นทุน อาทิ ด้านโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น

3.ด้านการควบคุมต้นทุนการผลิต (Production cost) มีแนวทางที่สำคัญประกอบไปด้วย 3.1) ขอให้ภาครัฐตรึงราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร เนื่องจากต้นทุนพลังงานคิดเป็นต้นทุนที่สำคัญในการผลิต ราว 2-10% หากราคาพลังงานมีการปรับตัวสูงเกินไปจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตของแต่ละอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นโดยตรง

3.2) ขอให้ภาครัฐช่วยควบคุมต้นทุนภาคการผลิตตลอดโซ่อุปทาน อื่น อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ วัตถุดิบขั้นกลางสำหรับการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค 3.3) ขอให้ภาครัฐพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยอ้างอิงจากปัจจัยการปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก และขอให้พิจารณาปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการมีต้นทุนแรงงานที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะ 3.3.1) การนำเข้าแรงงานต่างด้าวเฉลี่ยต่อคนประมาณ 12,000 บาท

Advertisment

3.3.2) ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จ่ายค่าจ้างเกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำกำหนดไว้ ดังนั้นหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากเกินไปอาจกระทบกับธุรกิจในระดับ SME ที่กำลังฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด-19 และยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้ในช่วงเวลานี้ นอกจากนี้ภาครัฐควรต้องส่งเสริม ยกระดับ upskill–reskill ให้กับแรงงานในแต่ละอุตสาหกรรมโดยเร็ว 3.3.3) ผู้ประกอบการมีต้นทุนการฝึกอบรมและยกระดับประสิทธิภาพของแรงงานในสถานประกอบการและแรงงานใหม่ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานจริง และเมื่อแรงงานมีความพร้อม จะมีการปรับขึ้นค่าแรงให้ตามความเหมาะสม

3.3.4) ผู้ประกอบการมีการจ่ายผลตอบแทนให้กับแรงงานในรูปแบบของโบนัสและสวัสดิการอื่นเมื่อกิจการสามารถทำกำไรได้ ซึ่งสะท้อนผลิตภาพของแรงงานและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางธุรกิจของผู้ประกอบการ