พาณิชย์ชี้ เทรนด์อีวีฟื้นเศรษฐกิจ หนุนไทยฮับผลิตรถยนต์

สนค.ชี้เทรนด์ใช้รถ EV เติบโตทั่วโลก ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการลงทุน รักษาความเป็นศูนย์กลางผลิตรถของ “ไทย”

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีแนวโน้มเติบโตทั่วโลก จากกระแสการให้ความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม

รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวแปรสำคัญให้นานาประเทศรวมถึงไทยออกมาตรการสนับสนุนให้มีการใช้ EV มากขึ้น

โดยปัจจุบันไทยเห็นชอบให้ BCG (biocircular green) ซึ่งเป็น economy model เป็นวาระแห่งชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การใช้รถ EV เป็นการใช้พลังงานสะอาดและรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถ EV รวมทั้งการขยายฐานการผลิตในประเทศ โดยเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบแพ็กเกจมาตรการสนับสนุน EV ครอบคลุมรถ 3 ประเภทได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถกระบะ

โดยมีมาตรการยกเว้น/ลดอากรขาเข้า ลดภาษีสรรพสามิต และให้เงินอุดหนุนตั้งแต่ปี 2565-2568 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถ EV มากขึ้น

นอกจากมาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV แล้ว ยังมีมาตรการจูงใจและสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตรถไฟฟ้าเพื่อทดแทนการนำเข้า อาทิ การลดอากรชิ้นส่วนนำเข้าเพื่อผลิต ในช่วงปี 2565-2568

อาทิ แบตเตอรี่ Traction Motor คอมเพรสเซอร์สำหรับยานพาหนะไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ระบบควบคุมการขับขี่ (DCU) on-board charger PCU inverter DC/DC converter และ reduction gear

โดยตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะ 725,000 คัน รถจักรยานยนต์ 675,000 คัน รถบัสและรถบรรทุก 34,000 คัน ภายในปี 2573

ทั้งนี้ ในปี 2564 ยอดการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% มีจำนวน 3,994 คัน เมื่อพิจารณาการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2560-2564 เติบโตเฉลี่ยต่อปี 39.49% และในปี 2564 ส่งออก 89,561 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

โดยประเทศ 5 อันดับแรกที่ส่งออกมากที่สุด ได้แก่ เบลเยียม สัดส่วน 13.38% สหราชอาณาจักร 12.73% เยอรมนี 9.55% สหรัฐอเมริกา 9.49% และนอร์เวย์ 8.78%

นายรณรงค์กล่าวว่า ประเทศไทยมีสัดส่วน 0.32% ส่งออกรถยนต์อันดับที่ 31 ของโลก และอันดับที่ 5 ของเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น มีมูลค่าการส่งออก 288 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 271.27% และในปี 2560-2564 การส่งออกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 218.64%

โดยในปี 2564 มีมูลค่า 38,290 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,203,265 ล้านบาท มีสัดส่วน 7.44% ของ GDP ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นเครื่องยนต์สันดาป

“ไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน สามารถสร้างงานและสร้างรายได้ให้ประเทศ นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของยานยนต์แห่งอนาคต จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น” ผอ.สนค. กล่าว