“ฮิลไทรบ์”รุกผลิตไข่ออร์แกนิก ปศุสัตว์หนุนรายย่อย 24 จังหวัด เลี้ยงเพิ่ม

เยี่ยมชม – กรมปศุสัตว์พาคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมผลดำเนินงานปศุสัตว์อินทรีย์ก้าวสู่ปีแห่งการยกระดับมาตรฐานสินค้า โดยชมโครงการไข่ไก่ออร์แกนิกบนดอยวาวีของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง และบริษัท ฮิลไทร์บ ออแกนิคส์ จำกัด จ.เชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้

ปศุสัตว์เดินหน้าปี 2561 ขยายพื้นที่ผลิตปศุสัตว์อินทรีย์เพิ่มจาก 13 จังหวัด เป็น 24 จังหวัด ป้อนตลาดพรีเมี่ยม หนุนเกษตรกรรายย่อย ชูต้นแบบ “ฮิลไทรบ์-อัครา-แดรี่โฮม” ภายใต้สัญลักษณ์ DLD ORGANIC

นายวีรชาติ เขื่อนรัตน์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ปี 2561 กรมปศุสัตว์มีแผนขยายพื้นที่ผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ พื้นที่ 24 จังหวัด เพื่อร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ปี 2560-2564 ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งขยายพื้นที่และเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ป้อนตลาดพรีเมี่ยม เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มรักสุขภาพที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และตลาดยังเติบโตได้อีกมาก กรมปศุสัตว์จึงมีเป้าหมายขยายพื้นที่ส่งเสริมการผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ จาก 13 จังหวัด เป็น 24 จังหวัด และเพิ่มจำนวนสินค้าเป็น 5 ชนิด เพื่อสร้างความหลากหลายและขยายทางเลือกให้กับผู้บริโภค คือ โคนม ไก่ไข่ เป็ดไข่ ไก่งวง หมูหลุม และแปลงพืชอาหารสัตว์อินทรีย์ คาดว่าปีหน้าจะมีฟาร์มรายใหม่ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานปศุสัตว์อินทรีย์ไม่น้อยกว่า 70 ฟาร์ม

การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ถือเป็นการเพิ่มมูลค่า รวมทั้งเพิ่มการค้าและการบริโภค และยกระดับมาตรฐานและการรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ โดยใช้โมเดลที่ได้ให้การรับรองปศุสัตว์อินทรีย์ รวม 154 ราย ภายใต้สัญลักษณ์ DLD ORGANIC

ปัจจุบันมีผลผลิตหลัก ได้แก่ ไข่ไก่อินทรีย์ ผลิตโดยบริษัท ฮิลไทรบ์ จำกัด และบริษัท อัครา จำกัด และน้ำนมโคอินทรีย์ ผลิตโดยบริษัท แดรี่โฮม จำกัด บนพื้นที่ 13 จังหวัดนำร่อง คือ สระบุรี นครราชสีมา เชียงราย ลำปาง นครปฐม อำนาจเจริญ ระยอง มหาสารคาม ยโสธร นครนายก อุทัยธานี และโรงงานวัตถุดิบอาหารสัตว์อินทรีย์ (ปลาป่น) 2 แห่ง จ.ระนอง ทั้งนี้จะเน้นแผนงาน 2 รูปแบบ คือ การสานต่อแนวคิดยโสธรโมเดล และจัดหาตลาดรองรับไก่ไข่อินทรีย์ และร่วมมือกับสมาพันธ์ SME ไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้ผลิตสินค้ารองรับตลาดดังกล่าวให้เพิ่มขึ้น

นายธนิก ชมชื่น ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ฮิลไทรบ์ ออร์แกนิคส์ จำกัด กล่าวว่า ฮิลไทรบ์ฯมีนโยบายและเป้าหมายในการส่งเสริมพัฒนาสังคมและชุมชน โดยเฉพาะเกษตรกรชาวเขาบนพื้นที่สูง ได้เข้าไปส่งเสริมให้ปรับเปลี่ยนอาชีพจากเดิมปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และทำไร่เลื่อนลอย โดยเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ตั้งแต่ปี 2556 จัดหาปัจจัยการผลิตให้ฟรี ทั้งพันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์อินทรีย์ เช่น ปลายข้าวและรำอินทรีย์ ข้าวโพดอินทรีย์ และกากถั่วเหลืองอินทรีย์ เป็นต้น พร้อมจัดอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตปศุสัตว์อินทรีย์

ปัจจุบันมีฟาร์มไก่ไข่อินทรีย์ 100% ในเครือข่ายฮิลไทรบ์ บนดอยวาวี 11 กลุ่ม จำนวน 52 ฟาร์ม รวมพื้นที่กว่า 90 ไร่ เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ฟาร์มละ 600-700 ตัว หรือรวมกว่า 31,500 ตัว วิธีการเลี้ยงปลอดการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะทุกชนิด เกษตรกรในเครือข่ายเก็บไข่ไก่อินทรีย์ได้ผลผลิต รวมประมาณ 15,000-17,000 ฟอง/วัน โดยบริษัทจะรับซื้อไข่อินทรีย์เกรดคละ ยกเว้นไข่แตกและฟองที่เล็กเกินไป ราคารับซื้อฟองละ 0.80 บาท สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรเดือนละ 9,000-15,000 บาท แต่ละเดือนสามารถนำรายได้เข้าสู่ชุมชนไม่น้อยกว่า 400,000 บาท ที่สำคัญ ผลผลิตไข่ไก่อินทรีย์มีคุณค่าทางอาหารสูง เช่น มีคอเลสเตอรอลน้อยกว่าไข่ไก่ปกติ และมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงกว่าไข่ไก่ปกติถึง 3 เท่า รายได้ดีกว่าการปลูกพืชหมุนเวียน เช่น ข้าวโพด ถั่ว ขิง และฟักทอง เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ย 1,500 บาท/เดือน ผลผลิตไข่ไก่อินทรีย์ทั้งหมดจะถูกนำเข้าสู่โรงคัดบรรจุเพื่อคัดเกรด แพ็กกิ้ง ส่งขายโมเดิร์นเทรด ได้แก่ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต วิลล่า มาร์เก็ต เทสโก้ โลตัส แม็กซ์เวลู เดอะมอลล์ ฟู้ดแลนด์ ร้านริมปิง ร้านฟูจิ และส่งให้กับโรงพยาบาล โดยประมาณการผลผลิตทั้งปี 5,400,000 ฟอง แบ่งเป็นขายในประเทศ 5,300,000 ฟอง และส่งออกไปฮ่องกง 100,000 ฟอง

“ยอมรับว่าการเลี้ยงระบบอินทรีย์ค่อนข้างยาก มาตรฐานสูง ต้นทุนการเลี้ยงสูง จึงยังผลิตได้น้อย สำหรับไข่ไก่ที่ไม่ได้มาตรฐานนำไปแปรรูปเป็นเต้าหู้ออร์แกนิกขายอีกช่องทาง ที่สำคัญคือการสร้างการรับรู้ตลาดเกษตรอินทรีย์ไทย ซึ่งยังไม่กว้าง ทำให้ผู้บริโภคไม่เห็นความต่างและยังคงมองตลาดเดิม แต่มีผู้บริโภคบางกลุ่มที่ชื่นชอบ ซึ่งเป็นตลาดบนพรีเมี่ยม อยากให้รัฐผลักดันองค์ความรู้ให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจอาหารเกษตรอินทรีย์ตามนโยบายที่วางไว้ให้มากขึ้น ส่วนอนาคตบริษัทจะขยายกำลังผลิตและผลักดันการส่งออกไปต่างประเทศให้มากขึ้น” นายธนิกกล่าว