ตะปูไทยเตรียมเฮ รอดภาษี CVD จากสหรัฐฯ ส่งออกสดใส

ตะปู
PHOTO : Łukasz Dyłka จาก Pixabay

กรมการค้าต่างประเทศ แย้มข่าวดี สหรัฐฯ แจ้งผลตอบโต้การอุดหนุนเบื้องต้นตะปูเหล็กไทยภาษีต่ำเพียง 0.04 – 0.10% รอดเดี่ยว ไม่ถูกเก็บหลักประกันอากรจาก 5 ประเทศที่ถูกกล่าวหา

วันที่ 10 มิถุนายน 2565 นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ไทยและอีก 4 ประเทศ ประกอบด้วย โอมาน ตุรกี อินเดีย และศรีลังกา ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดไต่สวนมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) สินค้าตะปูเหล็ก เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในสหรัฐฯ ได้กล่าวหารัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐของไทยว่ามีพฤติกรรมให้การอุดหนุน (Subsidy) ผ่าน 13 โครงการ

อาทิ โครงการสิทธิประโยชน์ในการลด/ยกเว้นภาษีบางประการของ BOI โครงการเงินกู้สำหรับการส่งออกของ EXIM Bank หรือโครงการแทรกแซงค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศ โดยมีลักษณะให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะเจาะจงแก่ผู้ส่งออกสินค้าตะปูเหล็กเพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ

ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศในฐานะหน่วยงานกลางผู้รับผิดชอบในการดำเนินการแก้ต่างการใช้มาตรการ CVD ในกรณีดังกล่าว ได้ประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้น 13 หน่วยงาน เพื่อร่วมจัดทำข้อโต้แย้งต่อข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ

โดยในผลชั้นต้นปรากฏว่าสัดส่วนการให้การอุดหนุนในสินค้าตะปูเหล็กของไทยอยู่ที่ร้อยละ 0.04 – 0.10 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ระดับที่ต่ำมากจนเข้าข่ายว่าไม่มีการอุดหนุน (De minimis) ส่งผลให้ในชั้นนี้ การนำเข้าตะปูเหล็กจากไทยจึงไม่ต้องวางหลักประกันอากร ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของความสำเร็จที่น่ายินดีของอุตสาหกรรมตะปูเหล็กไทย

ทั้งนี้ อีก 4 ประเทศ พบว่า มีอัตรา CVD ดังนี้ โอมาน ร้อยละ 2.49 ตุรกี ร้อยละ 1.33 – 3.88 อินเดีย ร้อยละ 2.73 – 2.93 และศรีลังกา ร้อยละ 4.12 ซึ่งจากผลการไต่สวนเบื้องต้นทำให้ทุกประเทศยกเว้นไทยต้องวางหลักประกันอากร ในอัตราดังกล่าวสำหรับการส่งออกตะปูเหล็กไปยังสหรัฐฯ

จากข้อมูลสถิติระหว่างปี 2560 – 2564 พบว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสินค้าตะปูที่สำคัญอันดับ 1 ของไทยมาโดยตลอด โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าตะปูจากไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2564 อยู่ที่ 2,355 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 83.72 ของการส่งออกตะปูทั้งหมดจากไทย

ในขณะที่ สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าตะปูเหล็กจากไทยในช่วงเวลาเดียวกัน มูลค่าสูงสุดเป็นลำดับที่ 5 หรือคิดเป็นร้อยละ 6.38 รองจาก จีน โอมาน ไต้หวัน และแคนาดา ดังนั้น การที่ไทยไม่ถูกเรียกเก็บหลักประกันอากรจะส่งผลให้เราสามารถรักษาตลาดตะปู และปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าในสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี และสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าตะปูเหล็กไทย

นอกจากนี้ การที่โอมาน ตุรกี อินเดีย และ ศรีลังกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สำคัญของสินค้าตะปูในสหรัฐฯ ล้วนถูกพิจารณาให้ต้องวางหลักประกันอากรในการนำเข้ายิ่งเป็นการสร้างแต้มต่อให้ไทยทำให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ หันมานำเข้าสินค้าตะปูเหล็กจากไทยเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

สำหรับขั้นตอนต่อไปของการไต่สวนมาตรการ CVD นั้น ภายหลังการประกาศผลชั้นต้นแล้ว สหรัฐฯ จะดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Verification) ก่อนประกาศผลการพิจารณาการไต่สวนชั้นที่สุด (Final Determination) ประมาณเดือนกันยายน 2565 ซึ่งคาดว่าไทยจะสามารถรักษาอัตราอากรดังกล่าวได้ ซึ่งกรมฯ จะติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางการค้าอย่างใกล้ชิด

โดยมุ่งมั่นที่จะลดอุปสรรคทางการค้า สร้างความเป็นธรรมทางการค้า และปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยอย่างยั่งยืน สำหรับผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th