ความยั่งยืนที่ให้ผลระยะสั้น-

คอลัมน์ CSR Talk

โดย พิพัฒน์ ยอดพฤติการ สถาบันไทยพัฒน์

สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ได้สำรวจความคิดเห็นของประธานกรรมการบริษัทที่มาร่วมงาน Chairman Dinner ของ IOD เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 พบว่าร้อยละ 82 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าคณะกรรมการของบริษัท ได้นำประเด็นเรื่องความยั่งยืนมาพิจารณาในการกำหนดเป้าหมาย และกลยุทธ์ขององค์กร

สำหรับการสอบถามในประเด็นที่คณะกรรมการบริษัทจะใช้เวลาพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการมากขึ้นในปีหน้า นอกเหนือจากเรื่องกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจคือเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ร้อยละ 61.2 เรื่องการบริหารความเสี่ยง ร้อยละ 55.1 เรื่องการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ร้อยละ 22 และเรื่องการต่อต้านทุจริต ร้อยละ 18.4 ตามลำดับ

ผลสำรวจดังกล่าวมาจากผู้ตอบแบบสอบถาม 49 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 7.2 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ทั้ง SET และ mai) จำนวน 679 บริษัท

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2560 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้ออกหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนปี 2560 (Corporate Governance Code : CG Code) เพื่อนำมาใช้แทนหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนปี 2555 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

CG Code ฉบับดังกล่าวถือเป็นหลักปฏิบัติสำหรับคณะกรรมการ นำไปปรับใช้ในการกำกับดูแลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีในระยะยาว ดำเนินงานอย่างมีจริยธรรม เคารพสิทธิและรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พัฒนา หรือลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปรับตัวได้ภายใต้ปัจจัยการเปลี่ยนแปลง

โดยหลักปฏิบัติเน้นการบูรณาการเรื่องความยั่งยืน ในประเด็นทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (ESG) เข้าไปอยู่ในกระบวนการทางธุรกิจ ตั้งแต่การกำหนดทิศทาง กลยุทธ์ กระบวนการดำเนินงาน การติดตาม และการรายงาน เพื่อให้คณะกรรมการบริษัทสามารถใช้เป็นกรอบในการกำกับดูแลให้บริษัท ดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นไปเพื่อการสร้างคุณค่าให้กิจการอย่างยั่งยืน

ผมคาดการณ์ว่าไม่ช้าก็เร็ว บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ จะต้องรับเอาเรื่องความยั่งยืนมาดำเนินการ ทั้งที่เกิดจากความริเริ่มภายในตัวบริษัทเอง (self-discipline) หรือจากกฎเกณฑ์การกำกับดูแล และการบังคับใช้กฎหมาย (regulatory discipline) รวมทั้งแรงผลักดันจากตลาด (market discipline)

กลไกหนึ่งที่สำคัญ เพื่อให้การส่งเสริมเรื่องนี้สัมฤทธิผลคือ การสื่อสารให้บริษัทจดทะเบียน รับทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ไม่เฉพาะการมีผลประกอบการที่ดีในระยะยาวจากการดำเนินการเรื่องความยั่งยืน แต่ยังสามารถให้ผลในระยะสั้นได้ด้วย ซึ่งในประเด็นหลังนี้ จะสร้างให้เกิดแรงจูงใจ ในแบบที่ไม่ต้องรอ หรือต้องแลก เพื่อผลในระยะยาว 5 ปี 10 ปี ซึ่งบางที คณะกรรมการอาจหมดวาระ หรืออยู่ไม่ทันรับอานิสงส์ถึงผลที่จะเกิดขึ้น

แนวทางการดำเนินการเรื่องความยั่งยืน เพื่อให้ผลในระยะสั้นอยู่ที่การออกแบบความริเริ่มด้านความยั่งยืน จากที่คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น (หรือที่จะเกิดขึ้น หากมิได้ดำเนินการ) โดยการจับคู่พิจารณากับ “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” ซึ่งเป็นเรื่องในอนาคต มาเป็นการจับคู่พิจารณากับ “รายรับ” และ “รายจ่าย” ซึ่งเป็นเรื่องในปัจจุบัน ที่มีผลกับบรรทัดสุดท้ายของกิจการตอนสิ้นปี

เป็นการปรับเปลี่ยนการรับรู้ประโยชน์ (recognized benefit) ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เป็นการรับประโยชน์ (realized benefit) จากการดำเนินการเรื่องความยั่งยืน ในรอบปีปัจจุบัน ซึ่งผมเรียกว่าเป็นมูลค่าปัจจุบันของความยั่งยืน (present value of sustainability)

เสมือนกับการบันทึกการรับรู้รายได้ในทางบัญชีที่มี 2 แบบ คือ เกณฑ์เงินสด (cash basis) กับเกณฑ์คงค้าง (accrual basis) นั่นเอง


ส่วนรายละเอียด และวิธีการในการให้ได้มาซึ่งมูลค่าปัจจุบันของความยั่งยืน จากการออกแบบความริเริ่มเพื่อรับประโยชน์ (realized benefit) ในรอบการดำเนินงานปัจจุบัน จะทำได้อย่างไรนั้น ผมจะมาขยายความ พร้อมตัวอย่างในตอนต่อไปครับ