“อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คลังของไทย ได้รับรางวัล Finance Minister of the Year 2023 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร “The Banker” ยกย่องการบริหารงานด้านเศรษฐกิจ-พลิกฟื้นประเทศไทย
วันที่ 23 มกราคม 2566 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับการคัดเลือกให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแห่งปี 2566 (Finance Minister of the Year 2023) ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร The Banker ในเครือ Financial Times ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ด้านเศรษฐกิจและการเงินชั้นนำที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
โดยนิตยสาร The Banker ได้กล่าวยกย่องการบริหารงานด้านเศรษฐกิจของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเฉพาะการดำเนินมาตรการเศรษฐกิจแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
อาทิ มาตรการคนละครึ่ง เป็นต้น รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Economy) ผ่านมาตรการทางภาษีต่าง ๆ โดยภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เศรษฐกิจไทยได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวกับนิตยสาร The Banker โดยแสดงความขอบคุณที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแห่งปี 2566 พร้อมทั้งได้กล่าวถึงการดำเนินนโยบายการคลังของไทยผ่านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและระบบการชำระเงินของประเทศที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก ทำให้มาตรการเยียวยาสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเข้าถึงเป้าหมายกลุ่มเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจากการรักษาวินัยทางการคลังในระยะที่ผ่านมา ทำให้กระทรวงการคลังไทยสามารถใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการเยียวยาที่หลากหลาย โดยยังสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะได้อย่างดีและปฏิบัติตามกฎหมายด้านวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ในระยะยาว กระทรวงการคลังจะมุ่งรักษาสถานะทางการคลังที่เข้มแข็งและยั่งยืน โดยคาดว่าจะเข้าสู่ดุลการคลังแบบสมดุลภายใน 10 ปี