เปิด 10 อันดับผลตอบแทนกองทุนสูงสุด-ต่ำสุดครึ่งปีแรก 2566

กองทุน

มอร์นิ่งสตาร์ เผยข้อมูลกองทุนรวมไทยไตรมาส 2/2566 เงินไหลเข้าสุทธิ 5 หมื่นล้านบาท ด้าน “กองทุนหุ้นญี่ปุ่น” มีผลตอบแทนสูงสุด ส่วนต่ำสุดคือ “กองทุนหุ้นจีน”

วันที่ 1 สิงหาคม 2566 บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยข้อมูลกองทุนรวมไทย ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา กองทุนรวมไทย (เฉพาะกองทุนเปิด ไม่รวมกองทุนปิด, ETF, REIT, Infrastructure fund) มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 3.9 ล้านล้านบาท แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาส 1 ที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 3.9 ล้านล้านบาทใกล้เคียงกัน

ในช่วงไตรมาส 2 มีเงินไหลเข้าสุทธิเกือบ 5 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสนใจกับกองทุนตราสารหนี้ โดยเฉพาะ กองประเภท Bond Fix Term และ Capital Protected Fix Term ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีเงินไหลเข้ารวมสูงกว่า 130,000 ล้านบาท

ซึ่งทั้งสองกลุ่มเป็นเงินไหลเข้าจาก บลจ.ไทยพาณิชย์ 4.9 หมื่นล้าน, บลจ.กรุงศรี 2.3 หมื่นล้าน, และ บลจ. กรุงไทย 1.9 หมื่นล้าน ตามมาด้วยกองทุนหุ้นจีน ที่ถึงแม้ยังให้ผลตอบแทนที่ติดลบมาทั้งปีเฉลี่ย -9.3% ก็ยังมีเงินไหลเข้าติดเป็นอันดับ 3 กว่า 3,500 ล้านบาท ขณะที่กองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่เริ่มมีเงินไหลเข้าเกือบ 2 พันล้านบาท

ในทางกลับกัน กองทุน Foreign Investment Bond Fix term มีเงินไหลออกว่า 4.1 หมื่นล้านบาท ตามด้วยกลุ่ม Flexible Bond และ Money Market ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีเงินไหลออกต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว

ด้านกลุ่มกองทุนหุ้นต่างประเทศซึ่งให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีมาตั้งแต่ต้นปี (YTD) เริ่มเห็นภาพเงินไหลออก นำโดยกองทุนหุ้นโลก กองทุนหุ้นญี่ปุ่น และกองทุนหุ้นเทคโนโลยี โดยทั้ง 3 กลุ่ม ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี (YTD) +11.15%, 18.44% และ 30.14%

ขณะที่กองทุนหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนค่อนข้างโดดเด่นในไตรมาส 2 นี้ เฉลี่ย +11.90% อีกทั้งในระยะยาว 3 ปีก็ให้ผลตอบแทนกว่า 11% ต่อปี ด้านกองทุนหุ้นเทคโนโลยี และกองทุนหุ้นสหรัฐ ก็ให้ผลตอบแทนไม่ด้อยกว่ากัน โดย YTD +30% และ 20% ตามลำดับ

ในทางตรงกันข้าม กองทุนหุ้นจีน ถึงแม้จะมีเงินไหลเข้าต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ก็ตาม แต่ผลตอบแทนทั้งระยะสั้นและยาว หรือดูจากผลตอบแทนครึ่งแรกยังติดลบ -9.29% และติดลบในไตรมาส 2 อยู่ที่ -10.31%